กินกันไม่ลง! ‘แมนฯ ซิตี้’ เจ๊า ‘ลิเวอร์พูล’ โคตรมัน 2-2
เกมนี้บรรดาสาวกทั้ง 2 ทีม รวมถึงสาวกกองเชียร์เฉพาะกิจต่างๆ จับตาดูกันทั่วโลก เพราะนี่คือเกมตัดสินแชมป์พรีเมียร์ลีกของทั้ง 2 ทีมที่ต้องมาเผชิญหน้ากัน
ก่อนเตะ แมนฯ ซิตี้ ลงสนามไป 30 นัด มี 73 แต้ม ส่วนลิเวอร์พูล ลงสนามไป 30 นัด มี 72 แต้ม ดังนั้นผลเสมอไม่ดีต่อทีมเยือนลิเวอร์พูล แต่หากทีมใดเก็บชัยชนะในนัดนี้ได้ จะทำให้โอกาสเปิดกว้างต่อการล่าแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ไปครอง
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือเวิลด์คลาสของ "เรือใบสีฟ้า" จัดทัพ 11 คนแรก ประกอบด้วย เอแดร์ซอน โมราเอส, ไคล์ วอล์คเกอร์, จอห์น สโตนส์, อายเมริก ลาปอร์ต, เชา คานเซโล่, เควิน เดอ บรอยน์, โรดริโก้ เอร์นานเดซ, แบร์นาโด้ ซิลวา, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, ฟิล โฟเด้น, กาเบรียล เชซุส
ด้าน เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือเวิลด์คลาสเช่นกันของ "หงส์แดง" จัดทีม 11 คนแรก ประกอบด้วย อลิสซง เบ็คเกอร์, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โฌแอล มาติป, เวอร์จิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ่, ธิอาโก้ อัลคานตาร่า, โมฮาเหม็ด ซาล่าห์, ซาดิโอ มาเน่, ดิโอโก้ โชต้า
ตลอดครึ่งแรก แมนฯ ซิตี้ เป็นฝ่ายครองบอลได้เหนือกว่าอย่างชัดเจน เล่นบอลทั่วสนามตามสไตล์ถนัดของตัวเอง ต่างจากลิเวอร์พูล ที่ดูจะมีอาการเกร็งให้เห็น บอลไม่ไหลลื่น แต่พยายามหาจังหวะตอบโต้แมนฯ ซิตี้ ได้หลายครั้งเช่นกัน
แค่ 5 นาทีเท่านั้น เป็นฝั่งของแมนฯ ซิตี้ ได้ประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็ว จากจังหวะที่ แบร์นาโด้ ซิลวา ไหลบอลให้ เควิน เดอ บรอยน์ ซัดด้วยซ้ายหน้าเขตโทษแฉลบขาของ โฌแอล มาติป เช็ดเสาเข้าไป ส่งให้เรือใบสีฟ้าออกนำ 1-0นาทีที 63 แมนฯ ซิตี้ ชวดโอกาสขึ้นนำจากจังหวะที่ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง หลุดกับดักล้ำหน้าลากไปดวลกับ อลิสซง เบ็คเกอร์ และยิงลอดขานายทวารจอมหนึบของหงส์แดงเข้าประตูไป แต่ VAR เช็กเป็นจังหวะล้ำหน้าก่อนหน้านั้นเพียงนิดเดียว ทำให้ทั้งสองทีมยังเสมอกัน 2-2