เริ่มก่อตั้งจนถึงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
สโมสรฟุตบอลอาร์เซน่อลเริ่มต้นขึ้น เมื่อกลุ่มคนงานของโรงงานผลิตอาวุธอาร์เซน่อลในแขวงวูลวิชของลอนดอน ตัดสินใจที่จะก่อตั้งทีมฟุตบอลของตนเองขึ้นมาในช่วงปลายปี 1886 สโมสรของพวกเขาลงเตะภายใต้ชื่อทีมไดอัล สแควร์ แมตช์แรกของทีมคือชัยชนะเหนือทีมอีสเทิร์น วันเดอเรอร์ส 6-0 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 1886
หลังจากนั้นไม่นานก็มีการเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็นรอยัล อาร์เซน่อล และยังคงแข่งขันในเกมอุ่นเครื่องและรายการท้องถิ่นต่อไป จนถึงปี 1891 สโมสรก็เปลี่ยนเป็นทีมฟุตบอลอาชีพและเปลี่ยนชื่อมาเป็นวูลวิช อาร์เซน่อล และได้เข้าร่วมการแข่งขันในฟุตบอลลีกเมื่อปี 1893 ทีมปืนใหญ่ย้ายเข้ามาเล่นในไฮบิวรี่เมื่อปี 1913 หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ลีกดิวิชั่น 1 ก็เพิ่มจำนวนทีมเป็น 22 ทีม และอาร์เซน่อลก็ได้รับการโหวตให้เข้าร่วมเตะในลีกสูงสุดนี้ด้วย และก็ไม่เคยถูกลดชั้นเลยนับตั้งแต่นั้นมา
ในระหว่างทศวรรษ 1930 อาร์เซน่อลได้แชมป์ลีก 5 สมัย โดยแชมป์สมัยแรกมาถึงในปี 1931 ภายใต้การคุมทีมของเฮอร์เบิร์ต แช็ปแมน ในฤดูกาล 1932/33 และ 1934/35 อาร์เซน่อลก็ทำแฮตทริกแชมป์ (ซึ่งเกิดขึ้นเพียง 4 ครั้งในลีกสูงสุด) และในทศวรรษนี้เอง อาร์เซน่อลก็เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพได้อีก 3 ครั้ง โดยคว้าแชมป์มาครองได้ 2 ครั้ง และมีนักเตะระดับตำนานของวงการฟุตบอลอังกฤษอยู่ในทีมหลายคนในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็น อเล็กซ์ เจมส์,เท็ด เดร็ค,คลิฟฟ์ บาสติน,เดวิด แจ๊ค,เอ๊ดดี้ แฮ็ปกู้ดและจอร์จ เมล ซึ่งล้วนแต่เป็นกำลังสำคัญของทีมที่ถือได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดทีมหนึ่งที่เคยมีมาในฟุตบอลลีก น่าเศร้าที่แช็ปแมน ผู้จัดการทีม เสียชีวิตลงในปี 1934 แต่ก็มีคนเข้ามาสานต่อในสิ่งที่เขาสร้างไว้ต่อไป ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่สองจะทำให้การเดินหน้าของอาร์เซน่อลต้องหยุดชะงักลง
สงครามโลกครั้งที่สองจนถึงสหัสวรรษใหม่
ในปี 1947 ทอม วิทเทคเกอร์เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีม และนำสโมสรประสบความสำเร็จได้อีกครั้ง อาร์เซน่อลได้แชมป์ลีกในฤดูกาล 1947/48 และ 1952/53 และเป็นแชมป์เอฟเอคัพในปี 1950 และรองแชมป์ในปี 1952
ในทศวรรษที่ 60 เส้นทางของการนำถ้วยแชมป์เข้าสู่ถิ่นไฮบิวรี่เริ่มตีบตับ โดยการแพ้ในนัดชิงชนะเลิศลีกคัพสองครั้งในปี 1968 และ 1969 ถือว่าเป็นการก้าวเข้าใกล้ความสำเร็จมากที่สุดของทีมในตอนนั้น อย่างไรก็ตามในทศวรรษดังกล่าวได้มีการแต่งตั้งเบอร์ตี้ มีเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมในปี 1966 และในทศวรรษถัดมาเขาก็เป็นผู้ช่วยเขียนประวัติศาสตร์หน้าสำคัญหน้าหนึ่งให้กับอาร์เซน่อล ในฤดูกาล 1970/71 มีนำทีมปืนใหญ่คว้าดับเบิ้ลแชมป์ฟุตบอลลีกและเอฟเอคัพได้เป็นครั้งแรก โดยคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 มาครองได้หลังบุกไปพิชิตสเปอร์สถึงถิ่น และได้แชมป์เอฟเอคัพด้วยการแซงกลับมาชนะลิเวอร์พูล 2-1 ที่เวมบลีย์
ในปลายทศวรรษดังกล่าว เทอร์รี่ นีลล์นำอาร์เซน่อลเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพได้ 3 สมัยซ้อน และได้แชมป์ในปี 1979 โดยชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-2 จาก 5 นาทีสุดท้ายแห่งความทรงจำ ในปี 1980 อาร์เซน่อลเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศคัพวินเนอร์สคัพด้วยทีมที่มีทั้งเกรแฮม ริกซ์,แฟรงค์ สเตเปิลตัน,แพท ไรซ์,เดวิด โอเลียรี่และเลียม เบรดี้รวมอยู่ด้วย ในช่วงซัมเมอร์ปี 1986 จอร์จ เกรแฮม อดีตมิดฟิลด์ตัวเก่งของทีมในชุดที่ได้ดับเบิ้ลแชมป์เมื่อปี 1971 ก็เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีม และเขาก็นำความสำเร็จเข้าสู่ทีมได้อีกครั้ง โดยตัวจุดประกายการก้าวสู่ความสำเร็จของทีมในอนาคตมาถึงในฤดูกาล 1986/87 เมื่ออาร์เซน่อลเป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์ลีกคัพที่แข่งขันภายใต้ชื่อรายการว่าลิตเติ้ลวู้ดคัพไปครอง
นับเป็นครั้งแรกที่สโมสรคว้าแชมป์ลีกคัพไปครองได้ เกรแฮมเดินหน้านำทีมคว้าแชมป์ลีกได้ในฤดูกาล 1988/89 ด้วยประตูชัยในนาทีสุดท้ายของไมเคิ่ล โธมัสที่ทำให้ทีมชนะลิเวอร์พูล 2-0 ที่แอนฟิลด์ แชมป์ลีกครั้งถัดไปมีขึ้นตามาในฤดูกาล 1990/91 ตามด้วยดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วยในประเทศในปี 1993 และในที่สุดทีมก็ได้แชมป์คัพวินเนอร์สคัพมาครองโดยชนะปาร์ม่าในปี 1994 การจากไปของเกรแอมตามมาด้วยการเข้ามารับตำแหน่งในช่วงสั้นๆของบรู๊ซ ริอ็อค ก่อนที่อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือชาวฝรั่งเศส จะเข้ามารับหน้าที่ในไฮบิวรี่ต่อ (กันยายน 1996) ทำให้เขากลายเป็นผู้จัดการทีมคนแรกของสโมสรที่ไม่ใช่คนในเกาะอังกฤษ
ในฤดูกาล 1997/98 ซึ่งเป็นการทำหน้าที่แบบเต็มฤดูกาลเป็นครั้งแรกของเวนเกอร์ที่ไฮบิวรี่ อาร์เซน่อลก็คว้าดับเบิ้ลแชมป์บอลลีกและเอฟเอคัพมาครองได้ นับเป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ของสโมสร กุนซือชาวฝรั่งเศสรายนี้ยังคว้าตำแหน่งผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปีไปครองด้วย ฤดูกาลอันยิ่งใหญ่ของทีมในครั้งนั้นส่งผลดีต่อนักเตะฝรั่งเศสในทีมอย่างเอมมานูเอล เปอตีต์และปาทริก วิเอร่า ซึ่งเป็นหนึ่งในขุนพลทีมชาติฝรั่งเศสชุดที่ได้แชมป์โลก สโมสรยังแยกทางเดินกับเอียน ไรท์ ซึ่งจากทีมไปด้วยการเป็นเจ้าของสถิติยิงประตูให้ทีมสูงสุด 185 ลูกในทุกรายการด้วย
อาร์เซน่อลเริ่มต้นฤดูกาล 1998/98 ด้วยกาคว้าแชมป์แชริตี้ชิลด์ไปครอง แต่ก็จบฤดูกาลด้วยตำแหน่งรองแชมป์พรีเมียร์ชิพ และในฤดูกาลถัดไปก็ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยทั้งในแชริตี้ชิลด์และในลีก ฤดูกาล 1999/2000 อาร์เซน่อลออกสตาร์ทด้วยการพิชิตแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในแชริตี้ชิลด์ แต่ก็จบฤดูกาลได้อย่างน่าผิดหวังโดยแพ้ในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่าคัพต่อกาลาตาซาราย ในซัมเมอร์นั้นเองโชคชะตาของดาวเตะชาวฝรั่งเศสของอาร์เซน่อลก็พลิกผันบ้าง เมื่อวิเอร่าและอองรี รวมถึงนักเตะที่ย้ายมาใหม่อย่างซิลแว็ง วิลตอร์และโรแบร์ ปิแรส ช่วยให้ทีมชาติของตนคว้าแชมป์ยูโร 2000 ไปครองได้ อาร์เซน่อลจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งรองแชมป์ทั้งในลีกและเอฟเอคัพในฤดูกาล 2000/01 ทีมปืนใหญ่ยังผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศของยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกได้เป็นครั้งแรก แต่ก็ตกรอบไปด้วยน้ำมือของบาเลนเซีย ซึ่งผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในปีนั้น
สี่ปีหลังจากอาร์แซน เวนเกอร์นำทีมอาร์เซน่อลคว้าดับเบิ้ลแชมป์มาครองได้ เขาก็สร้างประวัติศาสตร์นำทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้เป็นครั้งที่สองในฤดูกาล 2001/02 โดยอาร์เซน่อลคว้าแชมป์แรกมาครองด้วยการชนะเชลซี 2-0 ในมิลเลนเนียม สเตเดี้ยม ก่อนที่ทีมปืนใหญ่จะจบฤดูกาลนั้นโดยทำสถิติชนะติดต่อกัน 13 นัด คว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 12 ไปครองเมื่อยังเหลือเกมอีกหนึ่งนัด โดยแมตช์สำคัญคือการบุกไปชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ถึงโอลด์ แทรฟฟอร์ด 1-0 อาร์แซน เวนเกอร์ได้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปี ขณะที่โรแบร์ ปิแรสก็คว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าว ในฤดูกาลถัดไปอาร์เซน่อลพลาดการป้องกันแชมป์ไว้ได้อย่างน่าเสียดาย แต่ทีมปืนใหญ่ก็เป็นสโมสรแรกในรอบกว่า 20 ปีที่ป้องกันแชมป์เอฟเอคัพไว้ได้ด้วยการเฉือนชนะเซาแธมป์ตัน 1-0 ในนัดชิงชนะเลิศ
เธียร์รี่ อองรีได้รับการโหวตให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมทั้งของพีเอฟเอและสมาคมผู้สื่อข่าวในฤดูกาลที่เขาทำสถิติยิงประตูให้ทีมได้ครบ 100 ลูกอย่างที่เดนนิส เบิร์กแคมป์ทำได้ไปก่อนแล้ว ฤดูกาล 2003/04 อาร์เซน่อลคว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพกลับมาครองได้อีกสมัยโดยไม่แพ้ใครเลยตลอดฤดูกาล โดยทำคะแนนทิ้งเชลซี ทีมอันดับสอง ไปถึง 11 แต้ม อาร์เซน่อลทำลายสถิติต่างๆมากมายบนเส้นทางสู่แชมป์ลีกสมัยที่ 13 ของทีม เชส ฟาเบรกาส มิดฟิลด์ดาวรุ่งชาวสเปน ย้ายมาร่วมทีมเมื่อเดือนมกราคม และจบฤดูกาลด้วยการทำสถิติเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดของอาร์เซน่อลที่ได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่และเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูให้ทีมได้ โฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส ดาวเตะชาวสเปนอีกคน ก็ปรับตัวเข้ากับการลงเตะให้อาร์เซน่อลได้เป็นอย่างดี ในระหว่างที่สโมสรเดินหน้าคว้าแชมป์ลีกครั้งที่สองในรอบสหัสวรรษใหม่ไปครอง
อาร์เซน่อลเกือบจะทำสถิติที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนด้วยการคว้าดับเบิ้ลแชมป์ไปครองเป็นสมัยที่ 4 แต่ก็ไปพลาดท่าแพ้ในรอบรองชนะเลิศเอฟเอคัพเสียก่อน ส่วนเส้นทางของทีมในแชมเปี้ยนส์ลีกก็สิ้นสุดลงในรอบก่อนรองชนะเลิศ ขณะที่นักเตะดาวรุ่งนำทีมผ่านเข้าถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายของคาร์ลิ่งคัพ ในศึกฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป 2004 ที่โปรตุเกสมีนักเตะอาร์เซน่อลหลายคนเข้าร่วมการแข่งขันให้กับทีมชาติของตน และนักเตะอย่างซิลแว็ง วิลตอร์,คานูและกองหลังผู้เป็นตำนานอย่างมาร์ติน คีโอว์นก็ต้องอำลาทีมไป ส่วนนักเตะใหม่ที่ย้ายเข้ามาได้แก่โรบิน ฟาน เพอร์ซี่,มานูเอล อัลมูเนียและมาติเยอ ฟลามินี
อาร์เซน่อลพลาดการคว้าแชมป์ในฤดูกาล 2004/05 โดยทีมของอาร์แซน เวนเกอร์ทำคะแนนได้ถึง 83 แต้ม ซึ่งน่าจะเพียงพอกับการเป็นที่หนึ่งของตารางได้อย่างสบายเมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านั้น แต่เชลซีเป็นทีมที่คว้าแชมป์ลีกไปครองได้เป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปีของพวกเขาหลังจากโกยคะแนนไปได้ถึง 95 แต้ม ทีมปืนใหญ่ยังต้องตกรอบแชมเปี้ยนส์ลีกไปในรอบ 8 ทีมสุดท้ายโดยแพ้บาเยิร์น มิวนิคด้วยประตูรวม 2-3 แต่ก็ยังไม่จบฤดูกาลด้วยมือเปล่าเมื่อคว้าแชมป์เอฟเอคัพไปครองได้หลังจากดวลจุดโทษชนะแมน
League Champion (13 สมัย)
2004, 2002, 1998, 1991, 1989, 1971, 1953, 1948, 1938, 1935, 1934, 1933, 1931
FA CUP (10 สมัย)
2005, 2003, 2002, 1998, 1993, 1979, 1971, 1950, 1936, 1930
Carling Cup (2 สมัย)
1993, 1987
Community Shield (11+1 ครองแชมป์ร่วมกัน)
2004, 2002, 1999, 1998, 1991, 1953, 1948, 1938, 1934, 1933, 1931, 1930
European Cup Winners Cup Winners (1 สมัย)
1994
European Fairs Cup Winners (1 สมัย)
1970
ผู้เล่นที่มีชื่อเสียง
1980s: เคนนี่ แซมซัม (1980), โทนี่ อดัมส์ (1983-2003), เดวิด โรคาสเซิล (1985-2002), พอล เมอร์สัน (1986-2002), ไมเคิล โทมัส (1986).
1990s: เดวิด ซีแมน (1990-2003), เอียน ไรท์ (1991), เดนนิส เบิร์กแคมป์ (1995-2006), ปาทริก วิเอร่า (1996-2005), มาร์ค โอเวอร์มาร์ส (1997), นิโคลาส์ อเนลก้า (1997-2001), เฟรดริก ลุงเบิร์ก (1998), เธียร์รี่ อองรี (1999-2007)
2000s: แอชลีย์ โคล (2000-2006), โรแบร์ ปิแรส (2000-2006), โซล แคมป์เบล (2001-2006), เชส ฟาเบรกาส (2003), โฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส (2004-2006), โรบิน ฟาน เพอซี (2004-ปัจจุบัน) โทมัส โรซิกกี้ (2006-ปัจจุบัน), วิลเลียม กัลลาส (2006-ปัจจุบัน)
สถิติที่น่าสนใจ
-อาร์เซนอลเป็น 1 ใน 4 สโมสรของอังกฤษ ที่ได้แชมป์ลีกติดต่อกันมากที่สุด คือ 3 ครั้ง ในฤดูกาล 1932-33, 1933-34, 1934-35
-ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2001-02 อาร์เซนอลสามารถทำประตูได้ในทุกนัด เป็นสถิติสูงสุดของลีก
-ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2001-02 อาร์เซนอลชนะติดต่อกัน 14 นัด เป็นสถิติสูงสุดของพรีเมียร์ลีก (มีอีก 3 สโมสรคือ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, บริสตอลซิตี้, เปรสตันอร์ธเอนด์ ที่ทำสถิติชนะติดต่อกัน 14 นัดเช่นกัน แต่ทั้งหมดนั้นเป็นสถิติในดิวิชั่น 2)
-ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2003-04 อาร์เซนอลไม่แพ้ใครตลอดฤดูกาล 38 นัด (ชนะ 26 เสมอ 12) เป็นครั้งแรกของพรีเมียร์ลีก และครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษต่อจาก เปรสตัน นอร์ธเอนด์ ในฤดูกาล 1888-89 ซึ่งขณะนั้นมีการแข่งขันเพียง 22 นัดต่อฤดูกาล
-อาร์เซนอลไม่แพ้ใครเลยในพรีเมียร์ลีกติดต่อกัน 49 นัด ระหว่างฤดูกาล 2002-03, 2003-04, 2004-05 ก่อนจะแพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เป็นสถิติไม่แพ้ใครติดต่อกันสูงสุดในลีกสูงสุดของประเทศ
-อาร์เซน่อลจบฤดูกาล 2005/2006 ด้วยอันดับ 7 ของโลก
Love illusion ความรักลวงตา เพลงที่เข้ากับสังคมonline
Love illusion Version 2คนฟังเยอะ จนต้องมี Version2กันทีเดียว
Smiling to your birthday เพลงเพราะๆ ไว้ส่งอวยพรวันเกิด หรือร้องแทน happybirthday