เรียกข้าว่า “กัปตันพันธุ์อมตะ” I’m IL CAPITANO

เรียกข้าว่า “กัปตันพันธุ์อมตะ”
I’m IL CAPITANO


 

       บ่ายของวันอาทิตย์ ที่ 31 พฤษภาคม 2009 ณ สนามสตาดิโอ้ อาร์เตมิโอ้ ฟรังคี่ เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี นอกจากจะมีการแข่งขันนัดปิดฤดูกาล 2008-09 ของฟุตบอลลีกสูงสุดของอิตาลี่ เพื่อแย่งชิงโควตาสุดท้าย ในการเข้าแข่งขันฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยอัตโนมัติในฤดูกาลหน้า ระหว่างทีมเจ้าบ้าน “ม่วงมหากาฬ” ฟิออเรนติน่า กับทีมผู้มาเยือนอย่าง “ปีศาจแดง-ดำ” เอซี มิลาน แล้ว ยังมีไฮไลท์สำคัญอีกอย่างหนึ่งของวงการลูกหนังโลกเกิดขึ้น นั่นก็คือ เกมนี้เป็นนัดอำลาสนามอย่างเป็นทางการ ของสุดยอดกัปตันทีมผู้ภักดีชาวอิตาเลี่ยน บุรุษผู้มีนามว่า “เปาโล มัลดินี่

       ย้อนหลังกลับไปในอดีตเมื่อ 24 ปีก่อน เจ้าหนูมัลดินี่ จูเนียร์ ในวัยเพียงแค่ 16 ปี 6 เดือน ได้ถูกนิลส์ ลีดโฮล์ม กุนซือชาวสวีดิช ของทีมรอสโซ่เนรี่ในขณะนั้น เปลี่ยนตัวให้ลงไปโลดแล่นในสนามฟลิอูลี่ ของอูดิเนเซ่ ในเกมเซเรีย อา เมื่อวันที่ 20 มกราคม ปี 1985 ซึ่งนั่นถือว่าเป็นการลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่ของมิลานเป็นนัดแรก หลังจากที่เขาเข้ามาเป็นนักเตะฝึกหัดของมิลานตั้งแต่เมื่ออายุเพียง 10 ขวบ โดยตำแหน่งแรก ที่มัลดินี่ จูเนียร์ลงเล่น คือตำแหน่งแบ็คขวา ก่อนที่จะมาแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวกับตำแหน่งแบ็คซ้าย ในฤดูกาลต่อมา

       ด้วยวัยเพียงแค่17 ปี กับการก้าวเข้าสู่ทีมชุดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เปาโลถูกมองว่า ที่เขาก้าวมาไกลกว่าเด็กคนอื่นๆ ก็เพราะว่าเขาเป็นลูกของเชซาเร่ มัลดินี่ ซึ่งเป็นทั้งอดีตกัปตันทีม และผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของมิลาน แต่เปาโลก็ได้ใช้ความเพียรพยายาม เพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็น ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้มานั้น เกิดจากความสามารถ และการฝึกซ้อมอย่างหนักของตัวเขาเอง มิใช่ได้มาเพราะบารมีของบิดา อย่างที่ใครต่อใครได้ปรามาสเอาไว้แต่อย่างใด

       รางวัลแห่งความตั้งใจรางวัลแรกของมัลดินี่ ก็คือ การคว้าถ้วยสคูเดตโต้ ในฤดูกาล 1987-88 และนับจากนั้นเป็นต้นมา มัลดินี่กับมิลาน ก็เริ่มกวาดแชมป์เข้าตู้โชว์ของสโมสรเพิ่มอีกเป็นว่าเล่น ซึ่งถ้วยรางวัลล่าสุดอย่าง แชมป์สโมสรโลก เมื่อปี 2007 ก็นับได้ว่าเป็นแชมป์ที่ 26 ของเขาที่ทำได้กับมิลาน ซึ่งคงเป็นไปได้ยาก ที่จะมีนักเตะคนใดมาทำสถิติเทียบเท่าได้

       แต่ความสำเร็จในระดับสโมสร มันช่างสวนทางกับความสำเร็จในการลงเล่นให้กับทีมชาติอิตาลี ที่ถึงแม้ว่ามัลดินี่ จะเป็นเจ้าของสถิติในการรับใช้ทัพอัซซูรี่มากที่สุด ที่ 126 นัด แต่เขากลับไม่เคยได้สัมผัสกับความสำเร็จใดๆในระดับชาติเลย ทั้งในรายการฟุตบอลโลก และฟุตบอลยูโร โดยในรายการฟุตบอลโลกนั้น มัลดินี่ได้ลงเล่นในรอบสุดท้ายถึง 4 สมัย ในฟุตบอลโลกปี 1990, 1994, 1998 และ 2002 ทั้งนี้ ในฟุตบอลโลกปี 1994 ที่สหรัฐอเมริกา มัลดินี่และพลพรรคอัซซูรี่ ใกล้เคียงกับการคว้าแชมป์มากที่สุด แต่ทว่า พวกเขากลับพ่ายแพ้ในการดวลลูกโทษที่จุดโทษ ต่อทีมแซมบ้า บราซิล ไปในนัดชิงชนะเลิศ ได้แค่ตำแหน่งรองแชมป์

       ส่วนในรายการฟุตบอลยูโรนั้น มัลดินี่ได้ลงเล่นในรอบสุดท้าย 3 สมัย ในฟุตบอลยูโร ปี 1988, 1996 และ 2000 ซึ่งในยูโร 2000 ที่ฮอลแลนด์กับเบลเยียมเป็นเจ้าภาพร่วมกันนี้เอง ที่มัลดินี่เกือบที่จะได้สัมผัสกับโทรฟี่ในระดับชาติอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็พลาดท่าพ่ายให้กับทีมชาติฝรั่งเศส ไปในช่วงต่อเวลาพิเศษแบบโกลเด้น โกล ในนัดชิงชนะเลิศ พลาดแชมป์ไปอีกครั้ง และในที่สุด มัลดินี่ก็ได้ตัดสินใจประกาศเลิกเล่นให้กับทีมชาติอิตาลี หลังจากพ่ายต่อฤทธิ์ของผู้ตัดสิน ในฟุตบอลโลก 2002 ที่ญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพร่วมกัน ซึ่งถือว่าเป็นการอำลาทีมชาติที่ไม่สวยหรูเอาเสียเลย

       อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ผิดหวังมาจากการลงเล่นให้กับทีมชาติ มัลดินี่ที่จับคู่กับเนสต้าในตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟได้อย่างลงตัว ก็ได้ช่วยพามิลาน เถลิงแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2002-03 มาครองได้สำเร็จก่อนที่จะคว้าถ้วยหูโตมาครองได้อีกครั้งหนึ่ง ในฤดูกาล 2006-07

       แต่อันที่จริงแล้ว ก่อนที่จะเริ่มต้นฤดูกาล 2006-07 นั้น มัลดินี่ได้เริ่มคิดที่จะอำลาวงการลูกหนัง เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า ได้รุมเร้าเขาอยู่ตลอดในช่วง 2-3 ปีหลัง ซึ่งทำให้เขาต้องเข้ารับการผ่าตัดและพักยาวอยู่หลายช่วงด้วยกัน และเมื่อเขาสลัดอาการบาดเจ็บออกไปได้บ้าง และได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง เขาก็ไม่สามารถทำได้ตามมาตรฐานสูง อย่างที่เขาเคยทำเอาไว้ได้ เขาจึงโดนวิพากษ์วิจารณ์ ว่าแก่และช้าเกินไปแล้ว แต่มัลดินี่ก็ได้แสดงให้เห็นอีกครั้ง ว่าความทุ่มเท และความเป็นมืออาชีพของเขา ยังคงมีประโยชน์ต่อทีมมิลานอยู่มาก ยืนยันได้จากการที่เขาช่วยพาทีมคว้าโทรฟี่หูโต และอีก 2 ถ้วยในระดับอินเตอร์ได้ ในปี 2007

       การขยับเข้ามายืนเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟ ได้ช่วยยืดเวลาของเขา ในเส้นทางการค้าแข้งออกไปได้ โดยเขาได้ยอมรับว่า เขาคงไม่สามารถที่จะกระชากลากเลื้อย เติมเกมในตำแหน่งแบ็คซ้ายได้ในทุกๆเกมอีกต่อไปแล้ว แต่ถึงแม้ว่าสังขารจะไม่ค่อยเอื้ออำนวย มัลดินี่กลับทดแทนได้ด้วยความมีประสบการณ์ ความนิ่ง ความเด็ดขาด และการอ่านเกมได้อย่างแม่นยำ และที่สำคัญ ตลอดชีวิตการค้าแข้งของเขา เขาได้รับใบเหลืองหรือใบแดงน้อยมาก นานๆครั้งเท่านั้น ที่แฟนบอลจะได้เห็นเขาทำฟาวล์หนักๆ หรือฟิวส์ขาด ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่

       สำหรับในฐานะกัปตันทีมมิลานแล้ว เปาโล มัลดินี่ได้รับหน้าที่นี้ต่อจากฟรังโก้ บาเรซี่ ตำนานอีกคนหนึ่งของรอสโซ่เนรี่ ตั้งแต่เมื่อปี 1997 โดยตลอดระยะเวลา 12 ปี ในตำแหน่ง เขาทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบทั้งในสนามและนอกสนาม โดยในยามที่เขาลงเล่นในสนาม เขามีความมุ่งมั่น เด็ดขาด มีความเป็นผู้นำสูง เป็นศูนย์รวมจิตใจของทีมอย่างแท้จริง ในขณะที่เมื่อเขาอยู่นอกสนามแข่งขัน เขาเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี เป็นมิตรกับทุกคน เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่นักเตะรุ่นหลัง

       ในฤดูกาล 2008-09 ฤดูกาลสุดท้ายในชีวิตการค้าแข้ง มัลดินี่ในวัยย่างเข้า 41 ปี ยังคงเป็นกำลังหลักในแดนหลังของมิลาน ซึ่งแม้ว่ามิลานจะล้มเหลว ไม่สามารถคว้าถ้วยรางวัลใดๆ มาปิดท้ายให้มัลดินี่ได้เลย แต่เจ้าตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจแต่อย่างใด เพราะตลอดเส้นทางอาชีพค้าแข้งของเขา เขาคว้าถ้วยรางวัลมาเกือบทุกรายการแล้ว และทันทีที่มัลดินี่รีไทร์ เสื้อหมายเลข 3 ซึ่งเป็นหมายเลขประจำของเขามาตลอดระยะเวลา 24 ปี ที่ลงเล่นให้กับทีมเอซี มิลาน ก็จะถูกรีไทร์เพื่อเป็นเกียรติให้แก่เขาด้วย อันจะทำให้เขาเป็นขุนพลรอสโซ่เนรี่คนที่สอง ต่อจากฟรังโก้ บาเรซี่ ที่ได้รับการรีไทร์เสื้อหมายเลข 6 มาแล้ว เมื่อปี 1997 แต่ก็ไม่แน่ ว่าเสื้อหมายเลข 3 ของมิลาน อาจจะถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง หากว่าคริสเตียน มัลดินี่ ลูกชายคนโตของเปาโล มัลดินี่ สามารถก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของมิลาน ตามรอยเท้าพ่อ และปู่ของเขาได้ในอนาคต

       ไม่มีงานเลี้ยงใด ที่ไม่มีวันเลิกรา เช่นเดียวกันกับเส้นทางสายลูกหนัง ของชายที่ชื่อ เปาโล มัลดินี่ ผู้จงรักภักดีต่อทีมเอซี มิลาน สโมสรแรกและสโมสรเดียวของเขา ซึ่งแม้ว่าต่อจากนี้ไป เราอาจจะไม่ได้เห็นมัลดินี่ วาดลวดลายบนสนามให้เห็นอีก แต่ความสุดยอดที่เขาได้สร้างเอาไว้ ตลอดเส้นทางอาชีพค้าแข้ง ทั้งในและนอกสนาม จะยังคงตราตรึงอยู่ในห้วงคำนึงของบรรดามิลานิสต้า และแฟนลูกหนังทั่วโลกไปตราบนานเท่านาน คงไม่อาจมีใครที่จะลืมชื่อของบุรุษผู้นี้ได้
กัปตันพันธุ์อมตะ “อิล กาปิตาโน่” เปาโล มัลดินี่


ข้อมูลส่วนตัว ของเปาโล มัลดินี่

•   เกิดวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1968
•   ตำแน่ง : กองหลัง
•   ลงเล่นให้เอซี มิลานทั้งสิ้น : 902 นัด ยิงได้ 33 ประตู
•   นัดแรกในทีมชุดใหญ่ : อูดิเนเซ่ เสมอ มิลาน 1-1 (20 ม.ค. 1985)
•   ลงเล่นให้ทีมชาติอิตาลี : 126 นัด ยิงได้ 7 ประตู
•   นัดแรกในชุดทีมชาติชุดใหญ่ :ยูโกสลาเวีย เสมอ อิตาลี 1-1 (31 มี.ค. 1988)

ความสำเร็จกับมิลาน

•    7 สคูเดตโต้ (1988, 1992, 1993, 1994, 1996, 1999, 2004)
•    1 โคปป้า อิตาเลีย (2003)
•    5 ซูเปอร์โคปป้า อิตาเลียน่า (1988, 1992, 1993, 1994, 2004)
•    5 ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก (1989, 1990, 1994, 2003, 2007)
•    5 ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ (1989, 1990, 1994, 2003, 2007)
•    3 แชมป์สโมสรโลก (1989, 1990, 2007)

ขอบคุณเนื้อหาจากชาวไทยมิลาน

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์