การกลับมาของ“แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ แมตช์”ที่แท้จริง !!


“ฟี้ดดดด….” เสียงแก๊สอัดลมที่ลอดผ่านการบิดเกลียวฝาโค้กขวดละ 15 บาทในมือของผม ก่อนที่ผมจะกระดกมันเข้าไปคำใหญ่ ระหว่างที่นั่งอยู่หน้าจอคอม พร้อมกับตามองโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดสดทีมรักของผมกำลังฟาดแข้งกับคู่ปรับร่วม เมืองอย่างเมามันส์

ขณะที่ผมพิมพ์บทความบทนี้อยู่เป็นเวลาพักครึ่ง เหมือนอย่างที่หลาย ๆ ท่านรู้ ครึ่งแรกนั้นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเสมอกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้อยู่ 1-1 เหมือน ๆ จะเป็นสกอร์มิตรภาพ แต่จริง ๆ แล้วตลอด 45 นาทีบนสนามมันช่างน่าตื่นเต้น และเร้าใจเกินกว่าคำว่า “มิตรภาพ” ยิ่งนัก

ทั้ง สองทีมต่างพุ่งเข้าหาลูกกลม ๆ บนสนามอย่างกระหาย ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมซึ่งกันและกัน แม้เพียงเศษเสี้ยวเวลาที่นักเตะคนใดคนหนึงจะคิดว่าควรจะทำอะไรต่อไปดี ระหว่างที่เขาครองบอลอยู่ก็ไม่มี! อย่าว่าแต่เวลานึกถึงลูกเมียที่บ้านเลย แค่คิดว่าจะส่งต่อไปให้ใคร หรือเล่นจังหวะต่อไปยังไงดี ผู้เล่นที่คุณเรียกว่า “คู่แข่ง” ก็มายืนตรงหน้า หรือพร้อมจะเข้าประตูหลังคุณแล้ว

เสียงเชียร์ดังกระหึ่มตลอดเวลา อารมณ์ของคนดูที่พุ่งพล่านออกมาจากสิ่งที่เรียกว่า “ความรู้สึก” ที่ไม่อยากจะเสียเวลาเอาก้นย้วย ๆ ของตัวเองหย่อนลงบนเก้าอี้ เพราะเขาอยากที่จะเห็นทุก ๆ ภาพ ทุก ๆ การเคลื่อนไหวที่ไร้การหยุดนิ่งตลอดบนสนาม มันเป็นสิ่งที่ตรึงตาตรึงใจคนดูทั้งในสนาม และหน้าจอทีวีอย่างเรา ๆ นัก

ว่าแล้วผมก็จิบโค้กไปพลาง นั่งคิดไปพลางว่า “ภาพ และความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นกับผมครั้งล่าสุดตอนไหน?” ไม่ใช่ความรู้สึกแบบที่เรียกกันว่า “อยากได้แชมป์” มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ว่า “สกอร์แบบนี้ก็ยังดีว่ะ” และมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่ “เอ่าน่า นัดหน้าว่ากันใหม่”

แต่มันเป็นความรู้สึกที่ “ไม่อยากแพ้!” ซึ่งมันแตกต่างจากการอยากจะเอาชนะ หรืออยากจะคว้าถ้วยแชมป์ เป็นมากกว่าสกอร์บอร์ด หรือผลลัพธ์เมื่อจบการแข่ง แต่มันเป็นความรู้สึกที่สำหรับคน ๆ นี้ สำหรับทีม ๆ นี้ จะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด จะแพ้ความตั้งใจ ความทุ่มเท ความเชื่อมั่น แรงผลักดัน อารมณ์ ความรู้สึก หรืออะไรก็ตามแต่เท่าที่คน ๆ หนึ่งจะคิดได้ ณ ขณะที่นั่งดูบอลอยู่

บางคนอาจจะสงสัยว่าเอ๊ะ แล้วจู่ ๆ ไอ้ความรู้สึกที่ว่าเนี่ยมันเกิดขึ้นมาได้ยังไง ในเมื่อแมน ยูไนเต็ด และแมน ซิตี้เอง เรา ๆ ก็ดูมากันตั้งหลายนัด หลายฤดูกาลแล้ว กับนัดนี้มันแตกต่างกันตรงไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับถ้วยที่พูดกันตรง ๆ ว่าไม่ใหญ่เท่าถ้วยอื่น ๆ

การเกิดความรู้สึกใด ๆ ของมนุษย์ล้วนแล้วแต่มีที่มา และผมคงต้องบอกเลยครับว่ามันจะมีปัจจัยนำพา หรือปัจจัยกระตุ้นสิ่ง ๆ นั้น ไม่ว่าในทางวงการฟุตบอล กีฬาอื่น ๆ หรือในชีวิตประจำวันอย่างเรา ๆ

สิ่งที่นำพา หรือปัจจัยกระตุ้นที่ผมเอ่ยไปข้างต้น สำหรับโลกของฟุตบอล และการแข่งขันนัดนี้ ผู้นำพาที่ว่านั่นก็คือ “คาร์ลอส เตเบซ”

วินาทีที่เตเบซตะบันลูกฟุตบอลจากระยะ 12 หลาตรงกลางประตู หรือที่เรา ๆ เรียกว่า “จุดโทษ” เข้าไปตุงตาข่าย ส่งให้เขาพาทีม “เรือใบ” ตีเสมอทีมที่เขาคิดว่า “มองข้าม” ความสำคัญของเขา ช่วงเวลาไม่ถึงนาทีนับตั้งแต่บอลกลิ้งอยู่ก้นตาข่าย ตลอดจนการวิ่งระเบิดความสะใจของเขา สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่สกอร์บอร์ดที่ขยับจาก 0 เป็น 1 หรือ 0-1 เป็น 1-1 และไม่ใช่การความรู้สึกดีใจของผู้เล่น และแฟนแมน ซิตี้ หรือความผิดหวังของผู้คนทางฝั่ง “เร้ด อาร์มี่”

แต่มันนำ “อารมณ์ร่วม” ของทุก ๆ คนออกมา อารมณ์ร่วมโดยแท้จริง ส่วนลึกของความรู้สึกที่เค้นออกมาจากจิตใจ โดยแทบจะไม่ต้องผ่านการนึกคิด ความรู้สึกสะใจของทีม “เรือใบ” ที่มีอารมณ์ร่วมไปกับเตเบซ ทุก ๆ อย่างที่เขาคิด ที่เขารู้สึก ที่ได้ปิดมันเอาไว้ ทุกคนได้รับ ได้สัมผัสและเข้าใจในตัวเขา สิ่งนั้นส่งผ่านออกมาทั้งหมด

ซึ่ง แน่นอนฝั่งที่รู้สึกตรงกันข้ามก็คือทางแมน ยูไนเต็ดที่รู้สึกคับแค้น ผิดหวัง หงุดหงิด โกรธ โมโห ที่เห็นนักเตะที่เคยยิงประตูเพื่อทีม เฮฮาดีใจกับพวกเขา กลับวิ่งมาสะใจต่อหน้าพวกเขาเอง เปรียบเหมือนกับการโดนตบหน้าฉาดใหญ่ ที่ไม่เจ็บตัว แต่ชาไปถึงข้างใน

อันที่จริงก่อนเกมส์นัดนี้ ผมคิดจริง ๆ ว่าจะมีกองเชียร์ของทั้งสองทีมสักกี่คนที่เข้าใจความหมาย หรือความสำคัญของการแข่งนัดนี้จริง ๆ เชื่อเลยว่าแม้แต่นักเตะของทั้งสองทีมเอง เกินครึ่งน่าที่จะไม่ได้ซึมลึกความรู้สึกของคำว่า “อริร่วมเมือง” จริง ๆ จัง ๆ เสียทีเดียว

เหมือนอย่างหลายนัดที่ผ่านมา เราจะเห็นได้เลยว่า “อารมณ์” ระหว่างเกมส์มันแทบจะไม่ได้ต่างจากเกมส์ทั่วไป แต่วันนี้เตเบซทำให้ทุกคนรู้ว่าทำไมการแข่งขันระหว่างสองทีมนี้จึงต้องเรียก ว่า “แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ แมตช์”

เพื่อนร่วมทีมของเขารู้ว่าเตเบซไม่อยากแพ้ให้กับทีม ๆ นี้ เตเบซอยากที่จะยิงประตูทีม ๆ นี้ และนั้นทำให้เพื่อนร่วมทีม และแฟนบอลทุกคนรู้สึกเหมือนอย่างที่เขารู้สึก กลายเป็นความรู้สึกเป้าหมายของตัวเองเป็นปริยาย

และทางฝั่งแมน ยูไนเต็ดเอง การที่ได้เห็นนักเตะที่เดินออกจากถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดไปอยู่ร่วมทีมอริร่วมเมืองอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ พร้อมกับคำพูดตำหนิเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันกุนซือที่พวกเขานับถือ ยิงประตูทีมรักต่อหน้าพวกเขา นั่นมันคงจะมากกว่าความผิดหวังที่ทีมเสียประตู 1 ลูกอย่างแน่นอน

ไม่ว่าก่อนหน้านี้เตเบซจะเคยอยู่กับทีมไหนมาก่อน เขาจะยิงประตูเพิ่มได้อีกไหม หรือหลังจบเกมส์วันนี้เขาจะพาทีมชนะ เสมอ หรือแพ้ แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือ

วันนี้เขาได้พาเอาความหมาย ความรู้สึก และความสำคัญของคำว่า “แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ แมตช์” ที่แท้จริง กลับสู่เมืองแมนเชสเตอร์ และความรู้สึกของแฟนบอลทั่วโลกของทั้งสองทีมได้อีกครั้งหนึ่ง และนั่นมันจะทำให้ทุก ๆ ครั้งที่ระหว่างสองข้างของคำว่า vs หรือคำว่า “พบกับ” มีชื่อของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และแมนเชสเตอร์ ซิตี้อยู่ทีมละฝั่งแล้วละก็

เมื่อนั้นแฟนบอลทั่วโลกก็จะจับจ้องไปยังลูกบอลตรงกลางสนามที่นักเตะทั้ง 22 คน ของสองสโมสรยืนอยู่ พร้อมกับพูดกับตัวเอง หรือบรรดาเพื่อนแฟนบอลข้าง ๆ ว่า

“เริ่มสักทีสิ อยากดูใจจะขาดอยู่แล้ว …… !!!”
 


             เครดิต teenee.com

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์