เนมานย่า วิดิช : ความแข็งแกร่งจากสงคราม และการสูญเสีย

ตอน เนมานย่า วิดิช เก็บรองเท้าย้ายจาก สปาร์ตัก มอสโก มาเล่นกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวกว่า 7 ล้านปอนด์ พร้อมกับภาระหน้าที่ ถมที่ว่างในแนวรับ ที่อดีตขวัญใจแฟนบอลอย่าง สตีฟ บรูซ และ ยาป สตัม ทิ้

แต่ถ้าหากคุณโตขึ้นมาในเมืองแห่งสงคราม และเคยเห็นเพื่อนรักหัวใจวายตายต่อหน้าต่อตา ตั้งแต่ตอนอายุ 20 อย่างที่ วิดิช ยอมรับว่า เป็นประสบการณ์ที่สุดแสนเจ็บปวดนั้น มันคงต้องเป็นอะไรที่มากกว่า คำพูด ถึงจะทำให้จิตใจคุณหวั่นไหวได้
 
ผมรู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิตมากกว่าบางคนเล็กน้อย ปัญหาที่บางคนอาจมองใหญ่โตมโหฬารนั้น อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ตามสายตาผม ช่วงเวลาที่เลวร้ายเปิดมุมมองเกี่ยวกับชีวิตให้แก่ผม กองหลังวัย 27 ปี ที่ปัจจุบันเป็นหัวใจในแนวรับของ ปีศาจแดง อย่างแท้จริง กล่าว
 
วิดิช เป็นเด็กน้อยจาก อูชิเซ่ เมืองอุตสาหกรรมทางภาคตะวันตกของ เซอร์เบีย - ที่ประชากรน้อยกว่าความจุสนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เสียอีก - ตอนที่ประเทศของเขาอยู่ในภาวะความขัดแย้งเรื่องโคโซโว และถิ่นเกิดของเขาก็คือเป้าหมายการทิ้งบอมบ์ของกองกำลังนาโต้ ที่ซึ่งประชาชนชาวเมืองตอบโต้การทำสงคราม - อย่างเป็นที่เลื่องลือ - ด้วยการออกมารวมตัวกันบนท้องถนน แบบท้าทายเครื่องบินทิ้งระเบิด ว่า แน่จริงก็บอบม์ลงมาเล้ย
 
ดูท่าทางความแข็งขืน และเข้มแข็งของชาวเมือง จะถ่ายทอดคุณสมบัตินั้นมายัง หนึ่งใน สิ่งส่งออก ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศ ถึงแม้ วิดิช จะไม่ค่อยอยากเอ่ยถึงวันเวลาในช่วงนั้นเท่าไหร่ก็ตาม ตอนนั้นผมยังเด็ก และไม่รู้หรอกว่า ทำสงครามกันไปทำไม และมันไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากจะรำลึกถึงสักเท่าไหร่ด้วย เพราะมันไม่ใช้ความทรงจำที่ดี และโลกเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ  
 
แต่ผมมีชีวิตในสงคราม และแน่นอน มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผมเป็นนักเตะระดับเยาวชนอยู่ที่ อูชิเซ่  เราซ้อมกันที่ลู่วิ่งหลังสนามกีฬา ไม่ใช่ในสนามนะ และมีบ่อยครั้งที่เราต้องรอจนกว่าเครื่องบินจะมาทิ้งระเบิด แล้วค่อยโผล่ออกมาซ้อม มันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้าย คุณได้ยินเสียงเครื่องบินบินมา และรู้ด้วยว่า พวกเขาจะมาระเบิดเมืองของคุณ
 
จากนั้นพอผมย้ายไป เร้ด สตาร์ ตอนอายุ 15 ปี เบลเกรด ก็เป็นเมืองอันตรายที่ยากจะอยู่ ผมคิดว่า นั่นคือเหตุผลที่ผมมองว่า การเป็นทูตที่ดีให้กับประเทศของผม มันมีความสำคัญมากขนาดไหน บางทีนักฟุตบอลอังกฤษอาจมีบทบาทที่ต่างออกไป แต่สำหรับผม นักกีฬาเซอร์เบียมีหน้าที่ในการนำเสนอตัวตน และประเทศในทางที่ดี นักเทนนิสก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น โนวัค ยอโควิช หรือ อนา อิวาโนวิช บางทีย้อนไปสัก 2-3 ปีก่อน บางคนอาจมีปัญหากับ เซอร์เบีย แต่ตอนนี้ผมเชื่อว่า มันคงจะไม่เหมือนเดิมแล้ว 
 
ตอนอยู่ เร้ด สตาร์ นี่เอง ที่ วิดิช ต้องเผชิญกับวิบากกรรมหนักสาหัสหนาส่วนตัว เมื่อ วลาดิเมียร์ ดิมิทริเยวิช เพื่อนร่วมทีม และเพื่อนสนิทที่สุดของเขา หัวใจวายตายคาสนาม ต่อหน้าต่อตาขณะกำลังซ้อมกันอยู่ ผมจะไม่มีวันลืมเลย เราสนิทกันมาก เราแบ่งปันความฝันร่วมกัน และอยากจะประสบความสำเร็จร่วมกัน เรามาจาก อูชิเซ่ เหมือนกัน และย้ายมา เร้ด สตาร์ ด้วยกัน เขาจะภูมิใจในความสำเร็จของผม เช่นเดียวกับผมที่จะภูมิใจในตัวเขา วลาดิเมียร์ เป็นนักเตะพรสวรรค์ เขาจะเป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่ แต่ตอนนี้เขาจากผมไปแล้ว และผมจะเก็บความทรงจำเกี่ยวกับเขาเอาไว้ไปตลอดชีวิต
 
สิ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่างหนึ่งที่ วิดิช สามารถช่วยเพื่อนรักคนนี้ได้แน่นอนเลยก็คือ การกลับไปยังบ้านเกิด ที่มีโรงเรียนสอนฟุตบอลของเพื่อนรักเขาตั้งอยู่ ซึ่งปัจจุบันดูแลโดยพ่อของเพื่อน และเพิ่งจะเปิดทำการเมื่อไม่นานมานี้เอง โดย วิดิช รับปากล่วงหน้าว่า ผมจะไปที่โรงเรียนหลังจากจบฤดูกาลนี้ ผมจะไปหาพวกเด็กๆ แล้วก็ดูสิว่าตัวผมพอจะช่วยอะไรได้บ้าง
 
เขียนมาถึงตรงนี้แล้ว พอดีมีบทสัมภาษณ์ของ โซรัน ฟิลิโปวิช ซึ่งเป็นโค้ชของ เร้ด สตาร์ สมัยนั้น เอ่ยถึง วิดิช หลังเหตุการณ์สะเทือนใจครั้งนี้พอดี และเขาเป็นคนหนึ่งที่ ยูไนเต็ด ต้องส่งของไปขอบคุณ เนื่องจากที่เป็นคนโน้มน้าว และชักชวน ให้ วิดิช เล่นฟุตบอลต่อ ไม่ใช่ไปทำงานที่โรงงานทำทองแดงแบบพ่อของเขา ดาโกลยุบ (แม่ชื่อ โซร่า ทำงาน เสมียนธนาคาร) 
 
วลาด้า เป็นดาวรุ่งที่มีอนาคต และ วิดิช ก็สนิทกับเขามาก มันเกิดขึ้น 3 สัปดาห์ก่อนผมจะมาเป็นโค้ชให้ เร้ด สตาร์ มันส่งผลใหญ่หลวงต่อ วิดิช และเขามีปัญหาเยอะแยะ ผมคุยกับเขาหลายรอบ ช่วยให้เขาเอาชนะมันให้ได้ มันส่งผลทางใจกับเขา เขาอยู่ในสภวาะซึมเศร้าอย่างหนักไปประมาณ 2-3 เดือน ใจเขาไม่อยู่กับฟุตบอล และก็มีปัญหาที่จะรับมือกับมัน ผมพยายามคุยกับเขาบ่อยๆ ผมต้องดูแลเขาทั้งก่อน, ระหว่าง และหลังเกม เมื่อคุณทำงานกับนักเตะดาวรุ่ง คุณต้องดูแล และเอาใจใส่พวกเขาให้ดี ผมมีความสุขกับทุกอย่างที่เขาประสบความสำเร็จหลังจากสิ่งที่เกิดขึ้น ฟิลิโปวิช กล่าว   
 
(อีกครั้ง) มาถึงตรงนี้แล้ว แม้จะผ่านมานาน แต่เห็นว่าน่าสนใจดีที่จะนำมาเสนอให้ได้รับรู้กัน เป็นข้อความที่ เนเดลจ์โก้ พ่อของ วลาดิเมียร์ เขียนถึง วิดิช เพื่อนรักของลูกชาย ที่มีความฝันร่วมกันว่า หลังจากชีวิตที่ เร้ด สตาร์ แล้ว พวกเขาจะย้ายไปเล่นที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยกัน ใจความมีดังนี้     
 
วลาด้า กับ เนมานย่า มีความฝันเหมือนกันคือ ไปให้ถึงจุดสูงสุดของฟุตบอล และหลังจาก เร้ด สตาร์ แล้ว พวกเขาจะเล่นด้วยกันที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่โชคชะตาใจร้ายกับพวกเขา วลาด้า จากไปในวันที่ 1 ตุลาคม 2001 พวกเขากำลังซ้อมกันอยู่ และ วลาด้า ที่เพิ่งอายุ 20 หัวใจล้มเหลว เนมานย่า ขึ้นรถพยาบาลไปกับเขา แต่มันสายเกินไป    
 
พวกเขาไป เร้ด สตาร์ ตอนอายุเท่ากัน และเวลาเดียวกัน พวกเขาอยู่ด้วยกันตลอดเวลา เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกัน พวกเขาเคารพ ให้เกียรติ และเป็นห่วงกัน วลาด้า บอกผมว่า เนมานย่า เป็นคนจริงใจ และให้เกียรติเพื่อนทุกๆ คน หลังจากสิ้นสุดระยะเวลาในทีมเยาวชน พวกเขาต้องแยกกันตอนถูกส่งไปเล่นยืมตัวกันคนละทีม พวกเขาอยู่ห่างกัน แต่ก็โทรศัพท์คุยกันนานเป็นชั่วโมง และฝันถึงการกลับมา เร้ด สตาร์ พวกเขาเล่นดี และ เร้ด สตาร์ เรียกพวกเขากลับมาในปี 2001 และได้เซ็นสัญญากับสโมสรที่พวกเขารัก
 
พวกเขามีความสุข และนับจากนั้นพวกเขายังกับพี่น้อง เนมานย่า ไม่เคยลืม วลาด้า และ 1 ปีหลังจากการเสียชีวิตของเขา เขามาร่วมพิธีเปิด เมมโมเรียล เซนเตอร์ เขาลงสนามทุกครั้งโดยสวมเสื้อที-เชิ้ตที่มีภาพ วลาด้า ไว้ข้างใน และจะโชว์ออกมาเวลายิงประตูได้ เขาไม่เคยลืมครอบครัวของ วลาด้า และเขาจะแวะมาเยี่ยมพวกเรา และไปเยี่ยม วลาด้า ที่สุสานทุกครั้งที่มีโอกาส เรามีความสุขกับ วิดิช เพราะเขาได้เล่นให้สโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เราซาบซึ้งใจในทุกๆ ครั้งที่ วิดิช เอ่ยถึง วลาด้า เวลาสัมภาษณ์ รวมถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาทำเพื่อให้ความทรงจำของเขายังมีชีวิตอยู่ 
 
หลังการจากไปของเพื่อน วิดิช ตัดสินใจก้าวต่อไป และได้เป็นกัปตันทีมเร้ด สตาร์ ตอนอายุเพียง 22 ปี และเขาพาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ในปี 2004 ผมรู้ว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่ใน เซอร์เบีย เร้ด สตาร์ คือราชา และทุกๆ คนรู้จักคุณ และมีความเห็นต่างๆ นานาถึงคุณ เมื่อคุณเล่นให้ เร้ด สตาร์ ไม่ว่าคุณจะอยู่แห่งหนตำบลไหนในเซอร์เบีย ไม่มีทางที่จะไม่มีใครคุยเรื่องคุณ และ เร้ด สตาร์ สำหรับผม การคว้าดับเบิ้ลแชมป์กับ เร้ด สตาร์ มันยิ่งใหญ่พอๆ กับการคว้าถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีก กับ ยูไนเต็ด แต่ในแง่ของความกดดัน การเล่นให้ ยูไนเต็ด ยังไม่หนักเท่ากับการเป็นกัปตันทีมเร้ด สตาร์ ตอนอายุ 22 หรอก
 
ถึงจะเก๋ามาจาก เซอร์เบีย และว่ากันว่าเป็นนักเตะกองหลังค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลลีกหมีขาว ตอนที่ย้ายมาเล่นกับ สปาร์ตัก มอสโก แต่ 6 เดือนแรกใน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ของ วิดิช นั้นมันนรกชัดๆ แม้ว่าตอนนี้เขาจะได้รับเสียงสรรเสริญเยินยอมากมาย และกำลังมีความสุขกับครอบครัวอันแสนอบอุ่นร่วมกับ อนา ภรรยา และลูก้า ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน 
 
ผมมีปัญหาเรื่องการปรับตัวใน แมนเชสเตอร์ และกับ ยูไนเต็ด ตอนย้ายไป มอสโก มันง่ายกว่านี้ เพราะที่ สปาร์ตัก มีนักเตะเซิร์บ 5 คน แต่ที่ ยูไนเต็ด ไม่มีสักคน และใน แมนเชสเตอร์ ก็แทบไม่มีใครรู้จักผม ผมรู้ว่าทุกคนกังขาในตัวผมว่า ผมเก่งพอที่จะเล่นให้ ยูไนเต็ด มั้ย ผมมีความรู้สึกว่าทุกครั้งทั้งตอนซ้อม และในเกมแข่ง ผมมีหน้าที่ต้องทำอะไรสักอย่างเสมอ ผมมีปัญหาบาดเจ็บบ้าง และ พรีเมียร์ลีก ก็เล่นเกมหนักกว่าที่ไหนๆ ที่ผมเคยเจอ แค่ 2 เดือนแรกเท่านั้นผมถามตัวเองแล้วว่า - สงสัยเราย้ายมาผิดทีมเสียแล้ว   
 
ผมเครียดหนักไปนานพอสมควร แต่ผู้จัดการทีมเฝ้าบอกผมเสมอๆ ว่า เขาเชื่อมั่นในตัวผม ผมจะพิสูจน์ตัวเองได้ และผมจะต้องเป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่ มันทำให้ผมมีกำลังใจ และพอผมเริ่มเล่นได้อย่างเข้าขากับ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ผมก็เริ่มแสดงให้ทุกๆ คนได้เห็นว่า ผมทำอะไรได้บ้าง แม้ว่า ริโอ กับ ผมจะไม่มีอะไรเหมือนกันเลย แต่เราสื่อสารกันได้ดีทั้งใน และนอกสนาม เราสนิทกัน และมันเป็นเพราะ ริโอ ที่เปิดใจให้ผม เวลาอยู่ในสนามเราไม่จำเป็นต้องพูดกันเลย ผมรู้ว่าเขาจะทำอะไร และจะขยับไปไหน และเขาก็รู้สึกแบบนั้นกับผม    
 
ส่งท้ายด้วยคำพูดของ เซอร์ อเล็กซ์ ที่ครั้งหนึ่งเคยเอ่ยถึงลูกทีมคนนี้ว่า เขาเป็นคนที่มีสภาพจิตใจยอดเยี่ยม เขาเป็นกองหลังของแท้ เวลา วิดิช ซ้อม เขาจะไล่อัด หลุยส์ ซาฮา จนล้มคว่ำ แล้วฉุดเขาขึ้นมา ราวกับอยากจะบอกว่า - นี่มันงานของฉันว่ะ ฉันต้องทำ - ผมตะโกนบอกเขาว่า - เสียบระวังหน่อย ระวังกันหน่อย - และ วิดิช ตะโกนตอบมาว่า - โทษทีเจ้านาย โทษทีเจ้านาย - แต่เขาไม่ได้เสียใจหรอกนะ เขาก็แค่ชอบป้องกันประตูเท่านั้น  

  

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์