ประวัติเอซีมิลาน

สโมสรฟุตบอลมิลาน (Associazione Calcio Milan) หรือ เอซี มิลาน (A.C. Milan ในอิตาลี่ออกเสียงว่า มีลาน) หรือที่ฉายาในสื่อไทยเรียกว่า ปีศาจแดง-ดำ เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในเมืองมิลาน แคว้นลอมบาร์ดี้ ประเทศอิตาลี่ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1899 (พ.ศ. 2442) และเป็นหนึ่งในทีมฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในวงการฟุตบอลของยุโรปและของโลก โดยได้แชมป์ระดับเมเจอร์รวมทั้งหมดถึง 45 รายการ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในทีมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในอิตาลี่ เช่นเดียวกับ ยูเวนตุส และอินเตอร์ นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกของกลุ่ม จี-14 ซึ่งเป็นกลุ่มของสโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่ของทวีปยุโรปอีกด้วย


เอซี มิลาน ใช้สนามซาน ซิโร่ หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สตาดิโอ้ จูเซ็ปเป้ เมอัซซ่า เป็นสนามที่ใช้ในการเล่นในฐานะเจ้าบ้าน ร่วมกับทีมคู่ปรับร่วมเมืองอย่างอินเตอร์


[แก้] ประวัติสโมสร


AC Milan ย่อมาจาก Associazione Calcio Milan ได้ก่อตั้งสโมสรขึ้นเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1899 โดยชาวอังกฤษสามคน ได้พูดคุยกันที่ห้องหนึ่งในโรงแรมโฮเตลดู นอร์ และเกิดความคิดที่จะสร้างสโมสรคริกเกตและฟุตบอลชื่อ “Milan Football and Cricket Club” ซึ่งตอนเริ่มก่อตั้งใหม่ๆ คลับแห่งนี้เน้นไปที่คริกเกตมากกว่า แต่เมื่อข่าวค่อยๆแพร่กระจายออกไป ก็มีผู้คนให้การสนับสนุนฟุตบอลมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีอัลเฟรด เอ็ดเวิร์ดส์ ทำหน้าที่ประธานสโมสรเป็นคนแรก โดยหลังจากที่ไปขึ้นทะเบียนกับสหภาพฟุตบอลอิตาเลี่ยนแล้ว ทีมก็ได้เข้าร่วมชิงชัยในฟุตบอล รวมทั้งเริ่มสร้างสนามเพื่อใช้ในการเป็นเจ้าบ้าน โดยทำการสร้างสนามที่บริเวณทรอตเตอร์ ซึ่งในปัจจุบันก็คือ สถานีรถไฟกลางนั่นเอง


นัดเปิดสนามนัดแรกของสโมสรคือ การที่มิลานแข่งกับทีมเมดิโอลานุม ในวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 1900 และมิลานเอาชนะไปได้ 3-0 ซึ่งผู้เล่น 11 คนแรกของสโมสรประกอบไปด้วย ฮู้ด ชิญญากี้ ตอร์เรตต้า ลีส์ คิลปิน วาเลริโอ้ ดูบินี่ เดวี่ส์ เนวิลล์ อัลลิสัน ฟอร์เมนติ โดยในขณะนั้น คิลปินเป็นทั้งหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งสโมสรและเป็นกัปตันทีมฟุตบอล อีกทั้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดของทีมในขณะนั้น แต่ทว่าการแข่งขันอย่างเป็นทางการจริงๆ มิลานกลับแพ้โตริโน่ 0-3 เมื่อวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1900


ในปี ค.ศ. 1919 สโมสรได้เปลี่ยนชื่อเป็น “Milan Football Club” จากนั้นในปี ค.ศ. 1936 ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “Milan Associazione Sportiva” ต่อมาในปี ค.ศ. 1938 เปลี่ยนมาเป็น “Associazione Calcio Milano” สุดท้ายเปลี่ยนมาเป็น “Associazione Calcio Milan” ในปี ค.ศ. 1945 และใช้ชื่อนี้มาจนถึงปัจจุบัน


เอซี มิลาน ใช้สีแดง-ดำ เป็นสีประจำทีม มีฉายาในภาษาอิตาเลี่ยนว่า “รอสโซ่เนรี่” หรือ “อิล ดิอาโวโล่” ส่วนในภาษาไทยเรียกว่า “ปีศาจแดง-ดำ” และเรียกเหล่ากองเชียร์ของสโมสรว่า “มิลานิสต้า”


เอซี มิลาน ใช้สนาม ซาน ซิโร่ หรือ สตาดิโอ้ จูเซ็ปเป้ เมอัซซ่า ซึ่งเป็นสนามประจำเมืองมิลาน มีความจุโดยประมาณ 80,074 คน (ปัจจุบัน) เป็นสนามประจำทีม โดยสนามซาน ซิโร่ สร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 1926 ซึ่งผู้ที่ริเริ่มความคิดคือ ปิเอโร่ ปิเรลลี่ ประธานสโมสรของมิลานในขณะนั้น โดยเขาคิดที่จะมอบมันเป็นของขวัญให้กับสโมสร สนามซาน ซิโร่ใช้เวลาในการสร้างทั้งหมด 1 ปี โดยสามารถจุผู้ชมได้ 10,000 ที่นั่ง ต่อมาในปี ค.ศ. 1939 ได้มีการปรับปรุงสนามซาน ซิโร่ เพื่อให้สามารถรองรับแฟนบอลที่มาเข้าชมการแข่งขันได้มากขึ้น โดยครั้งนี้ได้เพิ่มจำนวนที่นั่งขึ้นไปเป็น 55,000 ที่นั่ง


ในปี ค.ศ. 1986 ได้มีการปรับปรุงสนามซาน ซิโร่อีกครั้งหนึ่ง เพื่อใช้เป็นสนามในการจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 1990 โดยครั้งนี้ได้มีการสร้างหลังคาที่ทำด้วยไฟเบอร์กลาส และสร้างหอคอยทางขึ้นอีก 11 ด้านเสียใหม่ รวมทั้งเพิ่มความจุของที่นั่ง จากเดิม 5 หมื่นกว่าที่นั่ง ไปเป็น 85,700 ที่นั่ง ซึ่งมีการคาดกันว่า ถ้าเอากันจริงๆแล้ว สนามซาน ซิโร่ น่าจะสามารถรองรับผู้ชมได้ถึง 150,000 คน แต่เนื่องจากติดปัญหาในด้านความปลอดภัย สภาเมืองมิลาน จึงได้ออกกฎห้ามมิให้มีผู้ชมเกินกว่า 100,000 คน


[แก้] เกียรติประวัติการแข่งขัน


- ยุคเริ่มก่อตั้งถึงยุคทศวรรษที่ 40 ยุคนี้ถือเป็นยุคมืดของมิลาน โดยตลอดระยะเวลาครึ่งศตวรรษ มิลานได้แชมป์อิตาเลี่ยน ฟุตบอล แชมเปี้ยนชิพ หรือกัลโช่ เซเรีย อา เพียงแค่ 3 สมัยเท่านั้น ในปี 1901, 1906 และ 1907 รองแชมป์ 2 ครั้ง ในปี 1902 และ 1948, รองแชมป์โคปป้า อิตาเลีย 1 ครั้ง ในปี 1942 โดยแพ้ให้กับยูเวนตุส นอกจากนั้นแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน ปล่อยให้เจนัว, โปร แวร์เชลลี่, ยูเวนตุส, อินเตอร์, โตริโน่ และโบโลญญ่า ผลัดกันขึ้นครองแชมป์อย่างสนุกมือ โดยนักเตะที่สำคัญในช่วงนี้ ได้แก่ เฮอร์เบิร์ต คิลปิน, หลุยส์ ฟาน แฮช, อัลโด้ เคเวนินี่, จูเซ็ปเป้ ซานตากอสติโน่, อัลโด้ โบฟฟี่, คาร์โล อันโนวาซซี่, เรนโซ่ บูรินี่ และโอเมโร่ โตญญ่อน เป็นต้น


- ยุคทศวรรษที่ 50 ยุคนี้ มิลานได้แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ถึง 4 สมัย ในปี 1951, 1955, 1957 และ 1959 รองแชมป์อีก 3 ครั้ง ในปี 1950, 1952 และ 1956 ส่วนในระดับทวีปนั้น มิลานได้เข้าชิงยูโรเปี้ยน คัพ ในปี 1958 แต่แพ้ต่อเรอัล มาดริด ยอดทีมในยุคนั้นไป 2-3 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ โดยนักเตะที่สำคัญในยุคนี้ ได้แก่ สามทหารเสือสวีดิช เกร-โน-ลี อย่างกุนน่าร์ เกร็น, กุนน่าร์ นอร์ดาห์ล และนิลส์ ลีดโฮล์ม นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายคน เช่น เชซาเร่ มัลดินี่, ฮวน เชียฟฟิโน่, ฟรานเชสโก้ ซากัตติ, อาร์ตูโร่ ซิลเวสตรี้ และลอเรนโซ่ บุฟฟ่อน เป็นต้น


- ยุคทศวรรษที่ 60 ยุคนี้ถือเป็นยุครุ่งเรืองยุคหนึ่งของมิลาน โดยมิลานได้แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา 2 สมัย ในปี 1962 และ 1968 รองแชมป์อีก 3 ครั้ง ในปี 1961, 1965 และ 1969, แชมป์โคปป้า อิตาเลีย 1 สมัย ในปี 1967 ที่เอาชนะปาโดว่า รองแชมป์อีก 1 ครั้ง ในปี 1968 ที่แพ้ต่อโตริโน่, แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 2 สมัย ในปี 1963 ที่เอาชนะเบนฟิก้า ของเสือดำแห่งโมซัมบิก ยูเซบิโอ้ ไป 2-1 และปี 1969 ที่ถล่มอาแจ๊กซ์ ของนักเตะเทวดา โยฮัน ครัฟฟ์ ไปถึง 4-1, แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย ในปี 1968 ที่เอาชนะฮัมบูร์ก และได้แชมป์สโมสรโลก 1 สมัย โดยเอาชนะเอสตูเดียนเตส ในปี 1969 รองแชมป์อีก 1 ครั้ง ในปี 1963 ที่พ่ายต่อซานโต๊ส ของไข่มุกดำ เปเล่ โดยนักเตะที่สำคัญในยุคนี้ ได้แก่ จานนี่ ริเวร่า, โฮเซ่ อัลตาฟินี่, ปิเอริโน่ ปราติ, อันเจโล่ ซอร์มานี่, จานคาร์โล ดาโนว่า, คาร์ล-ไฮนซ์ ชเนลลิงเกอร์, มาริโอ้ เตร๊บบี้, บรูโน่ โมร่า, โจวานนี่ โลเดตติ, มาริโอ้ ดาวิด, โจวานนี่ ตราปัตโตนี่, อันเจโล่ อันกวิลเลตติ, โรแบร์โต้ โรซาโต้, ลุยจิ ราดิเซ่, ดิโน่ ซานี่, จอร์โจ้ เกซซี่ และฟาบิโอ้ คูดิชินี่ เป็นต้น โดยยอดผู้จัดการทีมของมิลานในยุคนี้คือ เนเรโอ้ ร็อคโค่


- ยุคทศวรรษที่ 70 ยุคนี้ถือเป็นยุคประคองตัว ความสำเร็จภายในประเทศตกไปเป็นของยูเวนตุสอีกครั้ง ส่วนในระดับยุโรป ก็ไม่สามารถที่จะขึ้นไปทาบรัศมีของอาแจ๊กซ์, บาเยิร์น และลิเวอร์พูลได้เลย โดยมิลานได้แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา เพียงแค่ 1 สมัย ในปี 1979 รองแชมป์ 3 ครั้งติดต่อกัน ในปี 1971, 1972 และ 1973, แชมป์โคปป้า อิตาเลีย 3 สมัย ในปี 1972, 1973 และ 1977 ที่ชนะนาโปลี, ยูเวนตุส และอินเตอร์ ตามลำดับ รองแชมป์อีก 2 ครั้ง ในปี 1971 ที่แพ้ต่อโตริโน่ และในปี 1975 ที่แพ้ต่อฟิออเรนติน่า, แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย ในปี 1973 ที่เอาชนะลีดส์ และรองแชมป์ 1 ครั้ง ในปี 1974 ที่แพ้ต่อมักเดบวร์ก นอกจากนี้ ยังได้รองแชมป์ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ 1 ครั้ง ในปี 1973 โดยที่นัดแรกเล่นในบ้าน เอาชนะอาแจ๊กซ์ได้ 1-0 แต่พอไปเยือนกลับโดนอัดกลับมาถึง 6-0 ชวดแชมป์ไปอย่างเจ็บปวด โดยนักเตะที่สำคัญในยุคนี้ ได้แก่ อัลแบร์ติโน่ บิก้อน, อัลโด้ มัลเดร่า, จูเซ็ปเป้ ซาบาดินี่, อัลโด้ เบท, เอกิดิโอ้ คัลโลนี่, ฟูลวิโอ้ โคลโลวาติ, เอ็นริโก้ อัลแบร์โตซี่, โรเมโอ เบเนตติ และรูเบน บูริอานี่ เป็นต้น


- ยุคทศวรรษที่ 80 ในช่วงต้นทศวรรษถือเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของสโมสร เมื่อมิลานถูกปรับตกชั้นในปี 1980 จากข้อหาพัวพันกับคดีการล้มบอลของประธานสโมสร เฟลิเซ่ โคลอมโบ้ และผู้รักษาประตูของทีมอย่างเอ็นริโก้ อัลแบร์โตซี่ ทำให้ทีมต้องลงเล่นในศึกกัลโช่ เซเรีย บี เป็นครั้งแรก ซึ่งถึงแม้ว่าจะคว้าแชมป์เซเรีย บี ได้ในทันที แต่เมื่อกลับคืนสู่เซเรีย อา ได้เพียงฤดูกาลเดียวก็ต้องตกชั้นอีก อย่างไรก็ตาม มิลานก็สามารถกลับคืนสู่เซเรีย อา ในฐานะแชมป์เซเรีย บี อีกครั้ง ในปี 1983 แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน ประธานสโมสร จูเซ็ปเป้ ฟาริน่า ได้พัวพันกับคดีทางกฎหมาย จนทำให้เขาตัดสินใจหนีไปอยู่ที่แอฟริกาใต้ พร้อมกับเอาเงินของสโมสรไปด้วย มิลานในขณะนั้นจึงอยู่ในสภาพเกือบล้มละลาย แต่เมื่อมีมหาเศรษฐีที่ชื่อ ซิลวิโอ้ แบร์ลุสโคนี่ เข้ามาเทคโอเวอร์กิจการของสโมสรในปี 1986 มิลานก็เริ่มเข้าสู่ยุครุ่งเรืองอีกครั้ง โดยมิลานได้แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา 1 สมัย ในปี 1988, รองแชมป์โคปป้า อิตาเลีย 1 ครั้ง ในปี 1985 ที่แพ้ต่อซามพ์โดเรีย, ได้แชมป์อิตาเลี่ยน ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย ในปี 1988 ที่ชนะซามพ์โดเรีย, แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 1 สมัย ในปี 1989 ที่ถล่มสเตอัว บูคาเรสต์ 4-0, แชมป์ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย ในปี 1989 ที่เอาชนะบาร์เซโลน่า และได้แชมป์สโมสรโลก 1 สมัย ในปี 1989 อีกเช่นกัน โดยเอาชนะแอตเลติโก้ นาซิอองนาล 1-0 ซึ่งนักเตะที่สำคัญในยุคนี้ ได้แก่ สามทหารเสือดัตช์อย่าง มาร์โก้ ฟาน บาสเท่น, รุด กุลลิต และแฟรงค์ ไรจ์การ์ด นอกจากนั้นก็ยังมี เปาโล มัลดินี่, ฟรังโก้ บาเรซี่, อเลสซานโดร คอสตาคูร์ต้า, เมาโร่ ตัสซอตติ, ฟิลิปโป้ กัลลี่, โจวานนี่ กัลลี่, โรแบร์โต้ โดนาโดนี่, อัลเบริโก้ เอวานี่, คาร์โล อันเชลอตติ, ดานิเอเล่ มัสซาโร่,

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์