กูรูเวียดนามกระตุ้นวีลีกแย่งเบอร์หนึ่งอาเซียนจากไทย

กูรูลูกหนังเวียดนาม ออกโรงกระตุ้นวีลีกที่ต้องพยายามแข่งขันเพื่อแย่งตำแหน่งลีกอันดับหนึ่งของอาเซียนจากไทยลีก

      กวง ฮุย (Quang Huy) กูรูฟุตบอลชื่อดังชาวเวียดนาม ออกโรงกระตุ้น วีลีก ถึงปัจจัยที่ต้องเร่งพัฒนาเพื่อให้กลับมาเป็นลีกอันดับหนึ่งของอาเซียนอีกครั้ง หลังปัจจุบันตำแหน่งดังกล่าวตกเป็นของศึกโตโยต้า ไทยลีก ประเทศไทย

วีลีก เวียดนาม เคยเป็นลีกชั้นนำของอาเซียน ซึ่งมีดาวดังระดับตำนานของไทยหลายรายอาทิ ดัสกร ทองเหลา , เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง , ดุสิต เฉลิมแสน , ศักดิ์ดา เจิมดี ฯลฯ ย้ายไปค้าแข้ง

อย่างไรก็ตามช่วงปี 2009 วงการฟุตบอลไทยมีลีกอาชีพที่เติบโตแบบก้าวกระโดด ผู้เล่นมีรายได้ที่มั่นคง บางสโมสร และตัวนักเตะสามารถสร้างชื่อเสียงในระดับเอเชีย ขณะเดียวกันยังดึงดูดนักเตะต่างชาติชื่อดังเข้ามาค้าแข้งมากมาย โดยยังคงครองตำแหน่งลีกอันดับหนึ่งของอาเซียนในปัจจุบัน

"เมื่อ ฮอง อันห์ ยาลาย ชนะการแข่งขันชิงแชมป์ในปี 2003(ยุครุ่งเรืองคว้าแชมป์ลีก 2003 , 2004 แชมป์เวียดนาม ซุปเปอร์คัพ ปี 2004 และ 2005 ผ่านเข้าไปเล่น AFC 2005 ในรอบแบ่งกลุ่ม และเคยคว้าอันดับสามในศึกชิงแชมป์ฟุตบอลสโมสรอาเซียนในปี 2005) เราเริ่มพูดกันอย่างภาคภูมิใจว่า วีลีก เป็นลีกอันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่อีกต่อไป"

"นี่คือสิ่งที่เราต้องคิด ประเทศไทยมีคนที่มีเงินทุนเป็นของตนเองเพื่อไปที่ประเทศอังกฤษเพื่อเรียนรู้รูปแบบการบริหารฟุตบอลอาชีพ และกลับมาลงมือทำในการแข่งขันจริงๆ"

"แน่นอนว่าฟุตบอลไทยมีเจ้าของที่ร่ำรวยกว่าคนเวียดนามที่เคยลงทุนในฟุตบอลอังกฤษมาก่อน มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ซึ่งนอกจากความพยายามในการพัฒนาฟุตบอลแล้ว เราควรเปิดใจให้ผู้เล่นเวียดนามออกไปเล่นในต่างประเทศ โลกจะได้รู้เกี่ยวกับฟุตบอลเวียดนามทั้งในด้านภาพลักษณ์ และคุณภาพ"

ขณะเดียวกันได้เผยเพิ่มเติมว่า แม้แต่ผู้เล่นในศึก M-150 แชมเปี้ยนชิพ ของไทย ต่างมีคุณภาพมากพอที่จะทำให้บรรดาสโมสรวีลีกต้องการคว้าตัวไปร่วมทีม

"ฟุตบอลเวียดนามมีภาพลักษณ์ที่ดี แต่ขาดผู้เล่นต่างชาติที่ดีเนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจ เราไม่เพียงแค่ต้องแข่งขันกับไทยลีก แต่ยังรวมถึงเมียนมา , สิงคโปร์ , อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย ด้วย ที่เป็นลีกให้ค่าตอบแทนสูง"

"แม้แต่ในลีกรองของประเทศไทยก็มีผู้เล่นต่างชาติที่มีคุณภาพมากพอที่จะทำให้ทีมวีลีกต้องอยากได้ตัว" กวง ฮุย กล่าวปิดท้าย