ESPN ชู 5 เหตุผลที่ต้องจับตา ช้างศึก

ESPN สื่อกีฬาระดับโลก ลงบทความแนะนำจับตาทัพ "ช้างศึก" ทีมชาติไทย ในฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก 12 ทีมสุดท้าย โซนเอเชีย โดยยก 5 เหตุผล ที่คู่แข่งไม่ควรละสายตา

เว็บไซต์ ESPN FC สื่อกีฬาชื่อดังของโลก ลงบทความของ พอล เมอร์ฟี่ อดีตผู้สื่อข่าว นสพ.เดลี่เอ็กเพรส ของอังกฤษ ซึ่งปัจจุบันปักหลักรายการข่าวอยู่ในประเทศไทยมานาน 9 ปี โดยใช้ชื่อบทความว่า "Thailand's moment of truth against Asia's best in AFC World Cup qualifying" (เวลาแห่งสัจธรรมของไทยในการปะทะทีมที่ดีที่สุดของเอเชียในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก)

บทความนี้เขียนเพื่อเป็นการโหมโรงก่อนที่ไทยจะลงประเดิมสนามฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก 12 ทีมสุดท้าย ออกไปเยือนอิหร่าน เป็นนัดแรก ในวันที่ 1 กันยายน ก่อนเปิดบ้านรับมือ ญี่ปุ่น ในอีก 5 วันถัดไป โดยชี้ว่า ไทยทะลุมาถึงรอบนี้ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี ด้วยการจบอันดับดีกว่า อิรัก แบบเหนือความคาดหมาย

แม้รอบ 12 ทีมสุดท้าย โซนเอเชีย ไทยจะได้อยู่กลุ่ม B ร่วมกับทีมแถวหน้าของเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น ซาอุดิอาระเบีย, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, ยูเออี, และอิรัก แต่มี 5 ปัจจัยที่ทำให้ทัพ "ช้างศึก" ไทย เป็นทีมที่ไม่ควรมองข้ามในรอบนี้

1. "ซิโก้" ใช้นักเตะหน้าเดิม เน้นทีมเวิร์ค
ขุนพล "ช้างศึก" 23 คนของทีมชาติไทย ภายใต้การคุมทัพของ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ล้วนเป็นนักเตะหน้าเดิมๆ ที่เล่นกันมาตั้งแต่รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี นักเตะชุดนี้มีทั้งที่ประสบความสำเร็จกับต้นสังกัดในไทยลีก อย่างกวินทร์ ธรรมสัจจานันท์, ธีราทร บุญมาทัน, ธนบูรณ์ เกษารัตน์, และชนาธิป สรงกระสินธ์ รวมถึงผู้ที่โชว์ฟอร์มกับต้นสังกัดได้กระท่อนกระแท่นอย่าง มงคล ทศไกร และเกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์

แต่เพราะเด็กชุดนี้เล่นในนามทีมชาติกันได้ดี และเข้าขากันมานาน จนเป็นทีมเวิร์คที่แข็งแกร่ง ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากที่นักเตะคนอื่นๆจะสอดแทรกเข้ามา

2. "ธีรศิลป์" เป็นหน้าเป้าคนเดียว
ปัญหาบาดเจ็บของอดิศักดิ์ ไกรษร ที่โชว์ฟอร์มดีกับเมืองทอง ยูไนเต็ด ต้นสังกัด และจ่าฝูงไทยลีก ทำให้ "ช้างศึก" อาจต้องใช้ ธีรศิลป์ แดงดา เป็นหน้าเป้าคนเดียวในการล่าตาข่ายช่วงออกสตาร์ทรอบ 12 ทีมสุดท้าย คัดบอลโลก เนื่องจากศูนย์หน้าอีก 2 คนที่ติดมาทั้ง ธนา ชะนะบุตร และสิโรจน์ ฉัตรทอง ล้วนมาจากดิวิชั่น 1 โดยในรายของสิโรจน์ ที่ติดทีมชาติครั้งแรก ยังต้องการเวลาในการปรับจูนฝีเท้าเพิ่ม ดังนั้น ใน 2 นัดแรก ที่จะเจอกับซาอุดีฯ และญี่ปุ่น ความหวังในแนวรุก และการทำประตูของไทย คงต้องฝากไว้กับธีรศิลป์เป็นหลักเพียงคนเดียว

3. "ชัปปุยส์" คัมแบ็ก
ชาริล ชัปปุยส์ มิดฟิลด์ลูกครึ่งไทย-สวิส ที่แจ้งเกิดจนกลายเป็นซูเปอร์สตาร์คนใหม่ของทีมชาติไทยในปี 2014 จากการนำทัพ "ช้างศึก" ผงาดคว้าแชมป์ซูซูกิ คัพ ได้สำเร็จ ได้กลับมาติดทีมชาติอีกครั้ง หลังบาดเจ็บหัวเข่า ทำให้ต้องพักแข้งไปนาน 18 เดือน

ชัปปุยส์ เริ่มกลับมาลงแข่งให้กับสุพรรณบุรี เอฟซี ต้นสังกัดในไทยลีกได้อีกครั้งเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และค่อยๆคืนฟอร์มเก่งอย่างช้าๆ แต่ก็ทันมีชื่อกลับมาติดทีมชาติอีกครั้ง แทนตำแหน่งของสรวัฒน์ เดชมิตร นักเตะของแบงค็อก ยูไนเต็ด ที่บาดเจ็บ แถมยังได้ลงเล่นนานกว่าชั่วโมง ในนัดล่าสุด ที่ไทยอุ่นเครื่องพ่ายกาตาร์ 0-3

4. ค่ำคืนแสนวิเศษที่ราชมังคลาฯ
การเป็นเจ้าบ้านที่ราชมังคลากีฬาสถาน ท่ามกลางแฟนบอลที่เชียร์กันอย่างสนุกเต็มความจุของสนาม จะช่วยยกระดับชื่อเสียงให้กับรังเหย้าของ "ช้างศึก" ไทย ซึ่งจากเดิมมีแฟนบอลเข้ามาไม่เกิน 15,000 คน แต่ด้วยฟอร์มการเล่นที่ดีในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบัน ราชมังคลาฯ คาดว่าจะสามารถเรียกคนดูเข้ามาได้ไม่ต่ำกว่า 50,000 คน

หากแฟนบอลไทยสามารถก้าวข้ามบรรยากาศการเชียร์อันสนุกเร้าใจในรอบที่ผ่านมา ในนัดเปิดบ้านพบกับอิรัก และไต้หวันได้ รอบ 12 ทีมสุดท้าย ที่จะเจอกับเหล่ายักษ์ใหญ่ของเอเชีย ก็น่าจะมีคืนพิเศษเกิดขึ้นกับกองเชียร์ชาวไทยบ้างได้เหมือนกัน

5. เครื่องร้อนช้า
แฟนบอลไทยได้ชื่อว่าเป็นกองเชียร์ที่อดทน ในรอบที่ผ่านมา เพราะทีม "ช้างศึก" มักยิงประตูสำคัญได้ในช่วงท้ายเกม โดย 6 จาก 7 ประตูที่ยิงได้ในบ้าน ล้วนเกิดขึ้นในครึ่งหลัง ในจำนวนนี้ 5 ลูก ยิงได้ในช่วง 20 นาทีสุดท้าย

สาเหตุอาจมาจากสภาพอากาศร้อนชื้นของ กทม.ที่ทำให้คู่แข่งหมดแรงก่อน ดังนั้น การมาเยือนไทยของญี่ปุ่น ในแมตช์ที่ 2 ต้องจับตาว่า ญี่ปุ่นจะรับมืออย่างไร พวกเขาอาจจะหวังให้มีฝนตกลงมา เพื่อคลายความร้อน แต่สภาพสนามที่เปียกปอน ก็อาจลดทอนประสิทธิภาพเกมภาคพื้นดินของนักเตะญี่ปุ่นมากประสบการณ์ได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร แฟนบอลไทยควรอดใจรอ และจงจำไว้ว่า "ช้างศึก" ชุดนี้ คือ อนาคตที่ดีของทีมชาติไทย

ภาพจาก :: Thailand's moment of truth against Asia's best in AFC World Cup qualifying
ที่มาเนื้อหาข่าวจาก ESPN,voicetv.co.th