ล่าสุดเมื่อ 3 ก.พ. “โค้ชซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ซึ่งติดภารกิจที่กรุงเทพฯ ได้มอบหมายให้ “โค้ชรุ่ง” นายใกล้รุ่ง ตรีจักรสังข์ ผู้ช่วยฝึกสอนทีมชาติไทย คุมลูกทีมลงฝึกซ้อมที่สนามเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา
“โค้ชซิโก้” กล่าวว่า สภาพทีมตอนนี้มีนักเตะที่มีอาการบาดเจ็บบ้าง ทั้ง มิก้า ชูนวลศรี ปราการหลังที่เล็บนิ้วมือหลุดอาการไม่หนักมาก น่าจะสามารถลงสนามได้ ขณะที่อดิศักดิ์ ไกรษร ศูนย์หน้าที่เจ็บหัวไหล่นั้นสามารถลงสนามได้ตั้งแต่นัดแรกแล้ว แต่ยังไม่อยากฝืน ส่วนกวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ผู้รักษาประตูโดนปะทะจากเกมแรกจนมีอาการมึน แต่อาการดีขึ้นแล้ว และไม่น่าห่วงอะไร สภาพทีมจะค่อนข้างพร้อม
ส่วนเรื่องนักเตะตัวจริงที่จะส่งลงสนามพบกับอุซเบกิสถานนั้น ตนจะยึดนักเตะชุดเดิมจากเกมแรก เนื่องจากทุกคนสามารถโชว์ผลงานได้ดี รวมถึงนักเตะไทยทั้ง 20 คนสามารถทดแทนกันได้ทั้งหมด โดยจะใช้แผนการเล่นเหมือนเดิม แต่ไม่ได้ประมาททีมอุซเบกิสถาน อย่างไรก็ตามถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ นับเป็นรายการสำคัญ และยิ่งใหญ่มากของประเทศไทย ทีมชาติไทยไม่ได้สัมผัสถ้วยคิงส์คัพมานานกว่า 7 ปีแล้ว ทั้งนี้เชื่อว่าหากทีมไทยสามารถผ่านอุซเบกิสถานไปได้มั่นใจว่าจะสามารถคว้าถ้วยมาครองได้อย่างแน่นอน โดยสต๊าฟโค้ช และนักเตะทุกคนในทีมมุ่งมั่นเต็มที่กับการแข่งขันครั้งนี้
ด้าน “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ จอมทัพทีมชาติไทย กล่าวว่า การเจอกับอุซเบกิสถาน ต้องใช้ทีมเวิร์กเข้าสู้ ซึ่งที่ผ่านมาทีมชาติชุดนี้ไม่มีใครเล่นเพื่อตัวเองสักคน ส่วนการเจอกับการปะทะหนักๆ ของคู่แข่งนั้นมองว่ามันเป็นสไตล์ของแต่ละทีม ทำได้เพียงเล่นตามหน้าที่ของตัวเองเท่านั้น ที่ผ่านมาเคยโดนใบแดงในนามทีมชาติมาแล้ว ซึ่งโค้ชซิโก้ สอนว่าถ้าหากโดนใบแดงเท่ากับเห็นแก่ตัว ดังนั้นจึงรู้จักการควบคุมอารมณ์กันมากขึ้น
สำหรับ 11 ผู้เล่นที่คาดว่าจะได้ลงสนามประกอบด้วย กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์, พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา, มิก้า ชูนวลศรี, สุทธินันท์ พุกหอม, นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม,สารัช อยู่เย็น, ปกเกล้า อนันต์, ประกิต ดีพร้อม, มงคล ทศไกร, ชนาธิป สรงกระสินธ์ และเกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ ขณะที่สถิติระหว่างทีมชาติไทยกับอุซเบกิสถาน เคยเจอกัน 7 ครั้ง ไทยชนะ 5 เสมอ 2 ยิงได้ 18 เสีย 13 ประตู