อดีตนักฟุตบอลระดับตำนานทีมชาติที่ว่านี้ก็คือ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หรือที่คนไทยรู้จักกันดีกับชื่อ "ซิโก้" นั่นเอง ผู้ที่เคยฝากผลงานการทำประตูมากมายไว้ในฐานะศูนย์หน้าในนามทีมชาติและสโมสรต่าง ๆ โดยคำว่า ซิโก้ ชื่อเล่นของเขามาจากสุดยอดกองกลางทีมชาติบราซิลที่เขาชื่นชอบนั่นเอง ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมได้นำประวัติที่น่าสนใจของนักฟุตบอลและผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมชาติไทยผู้นี้ให้แฟนบอลได้รู้จักเขามากขึ้นครับ
ประวัติ
ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เกิดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2516 ที่จังหวัดขอนแก่น ปัจจุบันอายุ 41 ปี มีชื่อเล่นว่า ซิโก้ เป็นลูกคนสุดท้องจากจำนวนพี่น้อง 3 คน โดยมีพี่สาว 2 คน ซึ่งรักกีฬาฟุตบอลมาตั้งแต่เด็ก เริ่มหัดเล่นฟุตบอลระดับเยาวชนกับสโมสรธนาคารกรุงไทย ขณะอายุได้ 16 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ รวมถึงเคยเข้ารับราชการตำรวจ โดยมียศเป็นร้อยตำรวจโท ก่อนที่จะลาออกมาเดินตามความฝันของตัวเองในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
ซิโก้ใช้เวลาลงเล่นให้กับทีมธนาคารกรุงไทยตั้งแต่ปี 2532-2538 โดยลงเล่นไปทั้งสิ้น 145 นัด ยิงได้ถึง 98 ประตู ก่อนย้ายไปอยู่กับทีมราชประชาและทีมตำรวจ ตามลำดับ ระหว่างนั้น เขาติดทีมชาติไทยชุดบีไปแข่งขันที่ประเทศสิงคโปร์ และยิงประตูแรกช่วยให้ชนะทีมชาติโปแลนด์ 1-0 หลังจากนั้นด้วยความมุ่งมั่นและความที่เป็นคนขยัน ส่งผลให้เขาได้รับโอกาสไปเล่นฟุตบอลอาชีพในต่างแดนครั้งแรกกับทีมเปอร์ลิส ที่ประเทศมาเลเซีย และได้รับเชิญไปทดสอบฝีเท้ากับทีมมิดเดิลสโบรช์จากลีกของอังกฤษ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากติดปัญหาเรื่องใบอนุญาตทำงานทำให้ต้องกลับมาอยู่กับทีมเปอร์ลิสอีกครั้ง
ต่อมาไม่นานซิโก้ก็ได้รับโอกาสไปเล่นที่ประเทศอังกฤษอีกรอบกับทีมฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ในปี 2542 ซึ่งเป็นนักเตะไทยคนแรกที่ได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพในลีกอังกฤษ แต่เนื่องด้วยปัญหาสภาพอากาศและการปรับตัวไม่ได้ ทำให้เขาได้ลงเล่นให้กับทีมสำรองอย่างเดียวและไม่ได้ลงเล่นทีมชุดใหญ่เลยตลอดระยะเวลา 1 ฤดูกาล ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงกลับมาเล่นในประเทศไทยอีกครั้งกับทีมราชประชา ซึ่งทำผลงานได้โดดเด่นทีเดียว จากการลงสนาม 26 นัด ยิงไป 18 ประตู จนต่อมาทีมสิงคโปร์ อาร์มฟอร์ซ มาดึงตัวเขาไปเล่นที่ประเทศสิงคโปร์ ก่อนที่จะย้ายไปสร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักทั่วทวีปเอเชียที่ประเทศเวียดนามกับทีมฮอง อันห์ ยาลาย และทำให้เขาเป็นที่รักของแฟนบอลชาวเวียดนามเป็นอย่างมาก ด้วยผลงานการยิงประตูไปทั้งหมด 59 ประตู จากการลงเตะ 75 นัด ตั้งแต่ปี 2545-2549 และเป็นทีมสุดท้ายที่เขาลงเล่นในระดับสโมสร รวมถึงการควบตำแหน่งโค้ชและนักเตะในปีสุดท้ายที่อยู่กับทีมด้วย
หลังจากประกาศเลิกเล่นฟุตบอลและเล่นแมตช์อำลาสนามเมื่อปี 2550 ซิโก้ ก็ได้มาเริ่มคุมทีมฟุตบอลอย่างจริงจังกับทีมในประเทศ ทั้งทีมจุฬาฯ-สินธนา, ทีมชลบุรี เอฟซี, ทีมบีบีซียู เอฟซี และทีมบางกอก เอฟซี รวมถึงกลับไปประเทศเวียดนามอีกครั้ง เพื่อทำหน้าที่ผู้จัดการทีมฮอง อันห์ ยาลาย ในปี 2553 เป็นเวลา 1 ฤดูกาล
กระทั่งปี 2556 ซิโก้ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าโค้ชให้กับทีมชาติไทย ชุดซีเกมส์ ที่ประเทศพม่า ซึ่งพาทีมคว้าแชมป์ซีเกมส์ได้สำเร็จ และได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมชาติชุดใหญ่ เพื่อลุยศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2014
ในการแข่งขันซูซูกิคัพ 2014 ซิโก้ พาลูกทีมสร้างผลงานได้ยอดเยี่ยม ด้วยการเก็บชัยชนะได้ 3 นัดรวด ในรอบแรก ทำให้เข้าไปแข่งในรอบรองชนะเลิศกับทีมชาติฟิลิปปินส์ และเอาชนะมาได้ ก่อนเข้าชิงกับ มาเลเซีย ซึ่งในนัดแรก ทีมชาติไทยเอาชนะมาเลเซียที่สนามราชมังคลากีฬาสถานไปได้ 2-0 กุมความได้เปรียบในเกมนัดที่ 2 ที่ต้องบุกไปเยือนมาเลเซีย
แต่แล้ว นักเตะไทยก็ทำให้แฟนบอลช็อกอยู่พักใหญ่ เมื่อถูกมาเลเซียยิงนำไปก่อนถึง 3 ลูก ก่อนจะกลับมาสร้างปาฏิหาริย์ ไล่ยิงประตู 3-1 และ 3-2 ในช่วง 7 นาทีสุดท้าย ทำให้สกอร์รวมไทยชนะมาเลเซียไป 4-3 แบบลุ้นระทึกทั้งประเทศ และชัยชนะในแมตช์นี้ ก็ส่งให้ โค้ช ซิโก้ สร้างตำนานคนแรกที่คว้าแชมป์ฟุตบอลอาเซียนได้สำเร็จ ทั้งในฐานะนักเตะและโค้ช
ครอบครัว
ทางด้านชีวิตครอบครัวของสุดยอดโค้ชผู้นี้ ได้แต่งงานกับ อัสราภา เสนาเมือง ตั้งแต่ปี 2545 และมีลูกสาวที่น่ารักด้วยกัน 3 คน คือ น้องพราวด์, น้องเพิร์ธ และน้องเพิร์ล ซึ่งถูกปลูกฝังให้มีความรักในกีฬามาเป็นอย่างดี รวมถึงมาให้กำลังใจคุณพ่อข้างสนามอยู่เสมอ ๆ อีกด้วย