ผู้ท้าชิงคนแรกที่เปิดตัวไปแล้วคือ พินิจ งามพริ้ง ประธานชมรมเชียร์ไทยพาวเวอร์ที่งัดยุทธศาสตร์ "แผนฟื้นฟูฟุตบอลแห่งชาติ 10 ปี ตั้งแต่ปี 2556-2565” ออกมาเป็นใบเบิกทางสู่การเปลี่ยนสมาคมฟุตบอลไทย
ต้องยอมรับว่านโยบายของประธานเชียร์ไทยถือว่าสวยงามยิ่งนัก แต่นั่นไม่ใช่ปัจจัยที่จะชนะเลือกตั้ง เพราะแฟนบอลไม่ได้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง แต่คนที่มีสิทธิ์คือสโมสรสมาชิก ซึ่งแน่นอนว่าตรงนี้ พินิจ งามพริ้ง ต้องเป็นรองแน่นอน
แต่การที่ พินิจ งามพริ้ง ออกมาแถลงถึงนโยบายต่างๆ ย่อมเป็นการบีบให้ผู้สมัครเลือกตั้งทุกคนได้ตระหนักว่าจะแค่มาลงเลือกตั้งไม่ได้ แต่ต้องมี "กึ๋น" หรือวิสัยทัศน์ที่ทำให้คนในวงการฟุตบอลได้พิจารณาว่าเหมาะสมที่จะนำองค์กรหรือเปล่า
นอกจากประธานเชียร์ไทยแล้วคาดว่าอีกไม่นานจะมีการเปิดตัวผู้ท้าชิงในระดับที่ราคาเบียดกัน โดยมีกลุ่มผู้สนับสนุนอย่าง 2 สโมสรใหญ่ทั้ง "ฉลามชล" ชลบุรี และ "ปราสาทสายฟ้า" บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ยืนยันมาตลอดว่าวงการฟุตบอลไทยต้องเปลี่ยน !!!
น่าสนใจมากๆ ว่าผู้ท้าชิงรายนี้จะเป็นใคร เพราะดูจากเทรนเนอร์แล้วถือว่าไม่ธรรมดา
ฝั่งชลบุรีได้ใจในเรื่องของความจริงใจการทำฟุตบอลจนครองใจสโมสรสมาชิกหลายแห่ง ขณะที่บุรีรัมย์มีผู้บริหารที่ขึ้นชื่อในเรื่องการเลือกตั้ง ดังนั้น "วิชามาร" หรือวิชาใดๆ เช่น การล้มเลือกตั้งอย่างครั้งที่แล้วคงไม่น่าเกิดซ้ำรอยอีก
ไฮไลท์สำคัญของฟุตบอลไทยในปี 2556 จึงอยู่ที่การเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย นี่คือจุดสำคัญที่จะส่งผลต่อวงการฟุตบอลไทยในอนาคต ทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนหรือจะคงเดิมต่อไป ถึงตรงนี้คงวัดใจสโมสรสมาชิกว่าจะเลือกใคร
นอกจากการเลือกตั้งนายกสมาคมฟตุบอลไทยแล้ว ในปี 2013 แฟนบอลไทยยังได้ลุ้นกับผลงานของทีมชาติไทยตั้งแต่ต้นปีไปถึงท้ายปี
ประเดิมด้วยทัวร์นาเมนต์แห่งศักดิ์ศรี ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน "คิงส์คัพ" ครั้งที่ 42 ระหว่างวันที่ 23-26 มกราคม ที่เชียงใหม่ ปีนี้ทีมไทยได้เตะกับ ฟินแลนด์ สวีแดน และ เกาหลีเหนือ
จากนั้นเป็นทัวร์นาเมนต์แข่งขันอย่างเป็นทางการในฟุตบอลชิงแห่งชาติเอเชียหรือ "เอเชี่ยนคัพ 2015" รอบคัดเลือก กลุ่มบี ไทยต้องเจอกับ คูเวต เลบานอน อิหร่าน เพื่อคัดตัวแทน 2 ทีมไปเล่นรอบสุดท้ายที่ออสเตรเลีย
โปรแกรมของทีมชาติไทยประเดิมนัดแรกวันที่ 6 กุมภาพันธ์ เปิดบ้านพบ คูเวต นัดที่ 2 วันที่ 22 มีนาคม ไปเยือน เลบานอน จากนั้นหยุดพักยาวแล้วกลับมาเตะนัดที่ 3 วันที่ 15 ตุลาคม บุกไป อิหร่าน ก่อนกลับมาเล่นในบ้านเจอ อิหร่าน วันที่ 15 พฤศจิกายน แล้วปิดท้ายปีนี้ไปเยือน คูเวต วันที่ 19 พฤศจิกายน ส่วนนัดสุดท้ายข้ามปีไปเตะกับ เลบานอน วันที่ 5 มีนาคม 2557
นี่คือทัวร์นาเมนต์ที่ "วินนี" วินฟรีด เชเฟอร์ กุนซือชาวเยอรมันต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเหมาะสมที่จะคุมทีมชาติไทยหรือไม่หลังจากทำผลงานล้มเหลวพาทีมได้แค่รองแชมป์ในระดับอาเซียนอย่าง "เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2012" มาก่อนแล้ว
นอกจากทีมชุดใหญ่แล้วฟุตบอลไทยยังต้องลุ้นทีมอายุไม่เกิน 23 ปีใน "ซีเกมส์ ครั้งที่ 27" ระหว่างวันที่ 11-22 พฤศจิกายน ที่เนปิดอว์ ประเทศพม่า
ทีมชาติไทยต้องไปทวงแชมป์กลับคืนมาหลังจากพลาดท่าตกรอบแรกมา 2 สมัยติด นี่คือทัวร์นาเมนต์ที่ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง จะรับหน้าที่เฮดโค้ชเพื่อลบฝันร้ายของทีมชาติไทยในซีเกมส์
สำหรับแวดวงสโมสร "กิเลนผยอง" เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ได้ไปลุยใน "เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก 2013" อยู่ร่วมกลุ่ม เอฟ หวดกับ กวางโจว เอฟเวอร์แกรนด์ (จีน) ชุนบุค ฮุนได มอเตอร์ (เกาหลีใต้) และ อูราวะ เรดไดมอนด์ (ญี่ปุ่น)
การไปเล่นในระดับเอเชียของ "กิเลนผยอง" ต้องกระทบชิ่งถึงการป้องกันแชมป์ไทยพรีมียร์ลีกในฤดูกาล 2013 แน่นอน แต่ทั้งนี้ยังต้องลุ้นว่าคู่แข่งสำคัญอย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะเอาชนะ บริสเบน รอร์ จากออสเตรเลียในเกมเพลย์ออฟหรือเปล่า หาก "ปราสาทสายฟ้า" ทำได้ นั่นหมายความว่าทั้ง 2 ทีมต้องมีภาระหนักใน 2 ทัวร์นาเมนต์สำคัญเท่ากัน
ขณะที่ "ฉลามชล" ชลบุรี ไม่มีคิวต้องไปเล่นถ้วยเอเชียทำให้ปีนี้ลูกทีมของ "โค้ชเฮง" วิทยา เลาหกุล จะมุ่งความสำคัญไปที่การทวงแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกคือแบบเต็มตัว ทำให้การลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดของไทยในปี 2013 จะสนุกสะใจแน่นอน
นี่คือภาพรวมคร่าวๆ ของทิศทางฟุตบอลไทยในปี 2556 เชื่อว่าจะเป็นอีกปีที่มีสีสันไม่เบา แต่รสชาติจะออกแนวอร่อยหรือหวานอมขมกลืนอย่างไรต้องติดตามกันแบบห้ามกะพริบตา