หากพูดถึงทีมฟุตบอล แน่นอนว่า ผมชอบลิเวอร์พูล
แต่เมื่อเอ่ยถึงทีมชาติ หากไม่นับทีมชาติไทย ผมเทใจเชียร์ 2 ทีม หนึ่งคืออินทรีเหล็ก ทีมชาติเยอรมนี ที่ชอบมาตั้งแต่ยุคไอ้ลูกระเบิด เกิร์ด มุลเลอร์ ที่รู้จักจากตัวหนังสือ ขณะที่ คาร์ล ไฮน์ รุมเมนิกเก้ เคยเห็นตัวเป็นๆและจำลีลาที่ลากลูกจากกลางสนามไปยิงประตูทีมชาติไทยที่สนามศุภฯได้ และ ดีทมาร์ ฮามัน ...นักเตะเยอรมนีที่ผมชอบมากที่สุด ในฐานะ(เคย)เป็นนักเตะหงส์แดง
ในทีมชาติเสื้อฟ้า กางเกงขาว มีนักเตะที่ผมชอบ(มาก)อยู่ 2 คน และวันนี้อยากเขียนถึง 1 ในสองคน
คนแรกคือ เจ้าเปียทองคำ นักเตะที่ชาวอิตาเลียนเรียกโกลเด้นบอยนั่นคือ โรแบร์โต้ บักโจ้ ที่ว่ากันว่าเป็นนักเตะที่ชาวอิตาลีรักมากที่สุด และอาจจะเป็นนักเตะคนเดียวที่(เคย)เล่นสโมสรดังของอิตาลีครบทุกทีม ทั้งยูเวนตุส เอซี มิลาน และอินเตอร์ มิลาน
ว่ากันว่า บักโจ้คือนักเตะที่คนอิตาเลียนขอให้ติดทีมชาติไปบอลโลก เพื่อลงเล่นฟุตบอลโลก 4 ครั้ง แต่เจ้าตัวปฏิเสธเพราะอาการบาดเจ็บจนต้องแขวนรองเท้า ...
รอสซี่ เป็นนักเตะที่ผมเลือกใช้คำว่าล้มแล้วต้องลุกให้ได้ ...เพราะเคยถูกห้ามลงสนามเพราะเจอข้อหาล้มบอล
รอสซี่เล่นโคโม่ไม่นาน แมวมองของทีมในเซเรีย บี คือ วิเชนซ่า ก็ซื้อตัวหลังมองเห็นสัญชาติญาณเพชรฆาต จึงจับรอสซี่ จากผู้เล่นมิดฟิลด์ริมเส้น ไปเป็นกองหน้า ซึ่งถือว่าเป็นการมองถูกทาง เพราะรอสซี่ยิงถึง 21 ประตูให้ทีมเลื่อนชั้นขึ้นไปเล่นในกัลโช่ซีรี อาร์ และวิเชนซ่าก็ยื่นเรื่องขอซื้อตัวเป็นการถาวรจาก ยูเวนตุส ที่ยอมขายด้วยราคาถูกเพียง 1,500 ปอนด์ ในปี 1975
เล่นลีกสูงสุดเพียงปีเดียว นาโปลี ติดจ่อขอซื้อตัวไปร่วมทีมด้วยราคาเพิ่มเท่าตัวเป็น 3 พันปอนด์ แต่รอสซี่ไม่อยากไปอยู่เมืองมาเฟีย จึงตัดสินใจไปร่วมทีมเปรูจา แบบยืมตัวแทน
ไม่ต่างจากยุคนี้ ซึ่งเมื่อปีก่อน ซึ่งยูเวนตุส ก็เจอข้อหาเดียวกันและถูกริบตำแหน่งแชมป์ พร้อมถูกปรับตกชั้นไปเตะในกัลโช่ ซีรีส์ บี ขณะที่เอซี มิลาน ถูกตัดแต้มและปรับเงินมหาศาล
แต่รอสซี่ก็ซ้อม ซ้อม และซ้อม...ด้วยความหวังเล็กๆว่าจะติดทีมชาติไปฟุตบอลโลก 1982 ที่สเปน
ไม่มีใครในอิตาลีเชื่อว่าจะมีชื่อเปาโล รอสซี่ ติดทีมชาติไปด้วย ยกเว้น เอ็นโซ เบียร์ซ็อต กุนซือทีมชาติที่ติดตามฝีเท้ารอสซี่มาตลอด และตัดสินใจใส่ชื่อ เปาโล รอสซี่ เป็นหนึ่งใน 24 ขุนพลลุยฟุตบอลโลก 1982
และเมื่อจบฟุตบอลโลกปี 1982 ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเอ็นโซ่ เบียร์ซ็อต คิดถูก!!!
3 นัดในรอบแรก 3 นัด อิตาลียิงได้เพียง 2 ประตูโดยไม่รู้จักคำว่าชนะ แต่ก็ผ่านเข้ารอบด้วยประตูได้เสียเหนือกว่า แคเมอรูน ที่ตกรอบโดยไม่มีคำว่าแพ้ เพราะทั้ง 2 ทีมต่างเสมอรวด แต่อิตาลีโชคดีที่มีประตูได้เสียดีกว่า คือยิง 2 ประตู จึงเข้ารอบแบบหมอผีต้องน้ำตาตก
ไม่น่าแปลกใจที่อิตาลี จะถูกมองว่าสิ้นสุดเส้นทางในฟุตบอลโลก 82 แค่นี้ เพราะทีมร่วมสายของอิตาลี คือแชมป์เก่า อาร์เจนตินา ที่มี2 นักเตะแชมป์โลก 4 ปีก่อน คือมาริโอ เคมเปส และ ดาเนี่ยล พาสซาเรลล่า เป็นตัวชูโรง และมีนักเตะหน้าใหม่คือดีเอโก้ มาราโดน่า
อีกทีมคือเต็งหนึ่ง บราซิล ที่มีนักเตะก้องโลกล้นทีม นำทีมโดยเปเล่ขาว ซิโก้ ฟัลเกา ฯลฯ....
ใครๆก็มองว่านักเตะอัซซุรี่ ต้องกลับไปกินมะกะโรนีที่บ้านหลังจบรอบนี้
อิตาลียิงได้ 4 ประตูใน 4 เกม โดยศูนย์หน้า ยังไม่มีสกอร์ ทำให้เบียร์ซ็อตถูกสื่ออิตาลีตำหนิถึงการเลือกเปาโล รอสซี่ ที่ไม่ได้ลงสนามมา 2 ปีร่วมทีมไปด้วย
เบียร์ซ็อตก็รู้ดี พร้อมประกาศให้โอกาสรอสซี่ เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อพิสูจน์ตัวเอง
น่าสงสารรอสซี่ เพราะทีมที่เขาต้องลงสนามเพื่อพิสูจน์ตัวเอง คือแซมบ้า บราซิล เต็งหนึ่งฟุตบอลโลก 1982
ก่อนที่จะเจอกัน นักเตะบราซิล ต้องการผลแค่ไม่แพ้ก็จะผ่านเข้ารอบตัดเชือก
แต่ดูเหมือนบราซิลลืมนึกไปว่า อิตาลีมีนักเตะชื่อ เปาโล รอสซี่ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในอิตาลีถึงฟอร์มการเล่น แต่เมื่อพบกับบราซิล รอสซี่ก็ทำให้โลกรู้จัก ด้วยการแฮททริคพาอิตาลีเฉือนบราซิล 3-2 และผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ
ทีมที่อิตาลีเจอในรอบรองชนะเลิศ คือ โปแลนด์ ที่เสมอกันมาในรอบแรก 0-0
แต่คราวนี้ไม่เหมือนคราวนั้น เพราะเปาโล รอสซี่ จัดการคนเดียว 2 ประตูให้อิตาลีชนะโปแลนด์ไป 2-0 ผ่านเข้าสู่เกมนัดชิงชนะเลิศ
เกมนัดชิงชนะเลิศ เป็นการดวลกันของ 2 ชาติยุโรปที่เล่นกันคนละสไตล์ นั่นคือ อิตาลี ที่มีเกมรับสุดเหนียวตามรูปแบบการเล่นของทีม และเยอรมนี ทีมที่มีระบบการเล่นที่ไหลลื่นจากกองหลังผ่านกองกลางจนถึงกองหน้า
ในเกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 82 กองหลังของอิตาลีสามารถจับตายกองหน้าของเยอรมันจนกระดิกตัวไม่ออก และฉวยโอกาสโต้กลับเร็ว จนสามารถทำประตูนำห่างถึง 3-0 ก่อนจะชนะไป 3-1 คว้าแชมป์โลกมาครองได้แบบพลิกประวิตศาสตร์
เกมนัดชิง เปาโล รอสซี่ มีชื่อเป็นหนึ่งในผู้ทำประตูกับเขาด้วย
อิตาลี ...ทีมที่ผ่านรอบสองมาด้วยชนะทั้งเต็งหนึ่งและเต็ง 2
อิตาลี ...ทีมที่คว้าแชมป์โดยมีดาวซัลโว คือเปาโล รอสซี่ ที่ยิงเพิ่งอีกประตูในนัดชิง
แต่ในทางกลับกัน รอสซี่ ใช้เวลาเพียง 3 นัดก็ทำให้โลกรู้จัก และอิตาลีบันทึกประวัติศาสตร์ว่า ทารกเพศชายที่เกิดในคืนนั้นค่อนประเทศ ถูกตั้งชื่อเหมือนกันหมดว่าเปาโล
และเป็นเส้นทางที่สอนให้ทุกคนจำไว้ว่า เมื่อล้มก็ต้องลุกและเดินเชิดหน้า....ให้ได้ !!!