ไอ้หนุ่มอัจฉริยะ เคซี่ สโตนเนอร์

     เคซี่ สโตนเนอร์ (Casey Stoner) อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักของใครต่อใครเลยหากย้อนหลังไปเมื่อสัก 3-5 ปีก่อน อาจคลับคล้ายคลับคราว่าเป็นนักแข่งรถทางเรียบรุ่นไหนสักรุ่น...นึกไม่ออกย้อนหลังกลับไปน้อยกว่านั้น สัก 1-2 ปีที่ผ่านมา ก็อาจจะพอเป็นที่รู้จักของใครต่อใคร ว่าเป็นเด็กแนว บู๊ล้างผลาญ สไตล์การขี่แบบบู๊สุดฤทธิ์ไม่กลัวหัวหงอกหัวดำ กล้าวัดกันทุกโค้ง ล้มเป็นล้ม ร่วงเป็นร่วง เป็นอย่างงี้มาตั้งแต่แข่งในรุ่น 250 ซีซี จนขึ้นมาแข่ง Moto GP 1000 ซีซี นิสัยก็ไม่ได้เปลี่ยน ก็ยังระห่ำเหมือนเดิม มิได้มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงเลย 


     แต่มาในปี 2007 นี้ เคซี่ สโตนเนอร์ กับภาพที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ต้องบอกว่าแตกต่างจากที่ใครๆ ได้บันทึกไว้ในหัวอย่างสิ้นเชิง ไม่มีแฟนมอเตอร์ไซค์ Moto GP คนใดที่ไม่รู้จักชื่อของ “เคซี่ สโตนเนอร์” ถ้าไม่รู้จักแสดงว่าเชยซะจนหาเรือไม่เจอ..(ไปแปลกลับเป็นภาษาอังกฤษเองนะครับ....) ณ. เวลาที่ผมนั่งปั่นบทความและแปลข้อมูลจากเวบต่างประเทศทั้งหลายในตอนนี้นั้น เป็นช่วงเดือนสิงหาคม ก่อนที่จะถึง Brno กรังปรีซ์ ที่ประเทศสาธารณรัฐเชค ซึ่ง ณ. เวลานี้นั้น ต้องบอกว่า บังลังก์แห่งแชมป์เปี้ยนโลก สุดยอดรถจักรยานยนต์ทางเรียบรุ่นสุดยอดของโลก Moto GP 800 ซีซี นั้น มีความเป็นไปได้อย่างมากที่ เจ้าดาวรุ่ง “เคซี่ สโตนเนอร์” จะหย่อนก้นนุ่มๆ ลงบนบังลังก์แห่งแชมป์อย่างค่อนข้างจะแน่นอน ซึ่งแม้แต่ ท่านผู้ยิ่งใหญ่ “วาเลนติโน รอสซี่” (The Great Valentino Rossi) ก็ยังอาจอาศัยแต่เพียงฝีมือระดับเจ้ายุทธจักรบู๊ลิ้มแต่เพียงอย่างเดียวเพื่อห้ำหั่นเอาชนะเจ้าหนูดาวรุ่งเคซี่ หาพอไม่... อาจต้องอาศัยทั้งการเล่นของ, ไสยศาสตร์มนต์ดำ เพื่อแช่งให้สโตนเนอร์ ล้มคว่ำคะมำหงายซักอย่างน้อย 2-3 สนามขึ้นไป เพื่อจะลดช่องว่างของคะแนนพอให้ได้มีลุ้นกันบ้าง 


     ดังนั้น..ในปี 2007 นี้ ... มีความเป็นไปได้เป็นอย่างสูง แบบว่าแทงต่อก็ไม่มีคนรอง ว่า “เคซี่ สโตนเนอร์” จะคว้าตำแหน่งแชมป์โลกมาครองอย่างค่อนข้างจะแน่นอน หากว่าเขายังสามารถรักษาฟอร์มการขี่ที่เหนือชั้นได้เหมือนกับช่วงครึ่งแรกของฤดูกาลได้ และพาตัวเองขึ้นไปยืนบนโพเดียมให้ได้ในทุกๆ สนาม...ก็น่าจะไม่มีสิ่งใดมาเปลี่ยนแปลงความเป็นว่าที่แชมป์ของเขาไปได้ เพราะจำนวนสนามแข่งที่เหลืออยู่มีอีกเพียงแค่ 7 สนาม จากที่แข่งขันกันไปแล้ว 11 สนาม (ทั้งหมด 18 สนาม



     เพราะฉะนั้น...เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เราต้องทำความรู้จักให้มากขึ้นกับดาวรุ่งดวงใหม่ที่อาจจะกลายมาเป็นตัวแทนของอัจฉริยะปรมาจารย์ “วาเลนติโน รอสซี่” ก็เป็นไปได้ กับ “เคซี่ สโตนเนอร์”


 

ดาวดวงน้อยที่ได้ถือกำเนิด

     หนูน้อยเบบี๋ “เคซี่ สโตนเนอร์” ถือกำเนิดมาในครอบครัวสโตนเนอร์สุขสันต์ นำทีมครอบครัวโดย ป๋า โคลิน สโตนเนอร์ ( Colin Stoner) ที่เมือง Kurri Kurri ในทางตอนใต้ของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นเขตที่พลเมืองของประเทศออสเตรเลียส่วนใหญ่อาศัยกันอยู่ หนูน้อยเบบี๋ เคซี่ ก็เหมือนเด็กน้อยทั่วๆ ไปในวัยเดียวกันที่ซุกซนไปตามประสาเด็กๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ได้ฉายแสงออกมาถึงความเป็นดวงดาวดวงใหม่ที่จะขึ้นมาประดับบนท้องฟ้าแห่งวงการมอเตอร์สปอร์ตก็เริ่มตั้งแต่ไอ้หนูสโตนเนอร์อายุอานามได้แค่ 3 ขวบเท่านั้นเอง...


     บริเวณรอบๆ ใกล้ๆ บ้านของหนูน้อยสโตนเนอร์นั้นเต็มไปด้วยทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ซึ่งก็เหมือนๆ กับภูมิประเทศโดยทั่วๆ ไปของประเทศออสเตรเลียที่จะมีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่เหมาะกับการเลี้ยงแกะหรือเลี้ยงสัตว์ประเภทอื่นๆ “เคซี่ สโตนเนอร์” หลังจากที่พอปั่นรถสามล้อหรือรถจักรยานได้ ก็ได้พยายามหัดขี่มอเตอร์ไซค์อย่างรวดเร็ว สโตนเนอร์ในวัยเบบี๋นั้นมีความโปรดปรานในการขี่มอเตอร์ไซค์เป็นอย่างมาก โดยที่ไม่ต้องมีใครบังคับเคี่ยวเข็ญ ด้วยใจรักและพรสวรรค์ที่เทวดาองค์ใดก็ตามประทานพรมาให้ เพียงแค่วัยเตาะแตะเพียงแค่ 3 ขวบที่ยังไม่ได้ถอดผ้าอ้อม หนูน้อยเบบี๋สโตนเนอร์ก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์วิบากขนาดเล็กได้อย่างคล่องแคล่วด้วยตัวเองคนเดียว ถึงขนาดว่าสามารถขี่รถไล่พี่สาวที่โตกว่าหลายปีได้อย่างคล่องแคล่ว และสามารถขี่ไล่ตามสุนัขเลี้ยงแกะไปตามท้องทุ่งหญ้าได้อย่างสบายใจ (ลองนึกถึงพวกเราตอน 3 ขวบละกัน...พับเผื่อย ขี่จักรยานสองล้อลังไม่รอดเลย..สามล้ออย่างเดียว..)


     ครอบครัวสโตนเนอร์..เมื่อเห็นถึงพรสวรรค์ของหนูน้อยสโตนเนอร์อย่างนั้น ก็ไม่รอช้าที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ซึ่งหนูน้อยสโตนเนอร์ก็ไม่เคยอิดเอื้อนแต่อย่างใด เพราะว่าตัวเองนั้นโปรดปรานการขี่รถมาก ไม่ว่าจะเป็นการขี่เล่น การซ้อม หรืออื่นๆ หนูน้อยสโตนเนอร์ไม่เคยมีปัญหาแต่อย่างใด ขอเพียงให้ได้ขี่รถเป็นพอ


     เพียงแค่วัยเพียง 6 ขวบ เท่านั้น หนูน้อยสโตนเนอร์ ก็เริ่มเข้าสู่การแข่งขันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว (พระเจ้าจอร์จ...หกขวบเนี่ยอ่ะนะ....) เข้าร่วมการแข่งขันจักรยานยนต์ที่จัดขึ้นในประเทศออสเตรเลียอย่างจริงจัง ซึ่งเดี๋ยวเราจะมาเล่าสู่กันฟังต่อไปถึงพัฒนาการของดาวดวงน้อยดวงนี้ของวงการมอเตอร์สปอร์ต



เพชรแท้ที่ฉายแวว
 
     สำหรับเด็กผู้ชายที่ชื่อว่า “เคซี่ สโตนเนอร์” ในวัย 4 ขวบนั้น ดูเหมือนสิ่งที่โปรดปรานมากกว่าสิ่งใดๆ ของเจ้าหนูจะมีแต่เพียงการขี่รถเท่านั้น เจ้าหนูน้อยไม่เคยบ่นเบื่อ หรืออิดออดใดๆ ในการที่ต้องขี่รถหรือการซ้อม ด้วยความบ้าขี่รถบวกกับความเป็นอัจฉริยะที่ซ่อนอยู่ในตัว ที่ตอนนั้นยังไม่ได้เปล่งประกายออกมา ก็ได้เริ่มต้นสร้างสรรค์ผลงานของมันออกมาอย่างเป็นรูปธรรม หนูน้อยสโตนเนอร์เริ่มต้นชีวิตน้อยๆ ของการเป็นนักแข่งมอเตอร์ไซค์กับการแข่งขันในแนววิบาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เค้าถนัดมาตั้งแต่วัยยังเบบี๋ ต้องถือว่า สโตนเนอร์ น้อย ได้เริ่มก้าวเข้าสู่สนามแข่งขันตั้งแต่อายุเพียงแค่ 4 ขวบเท่านั้นเอง โดยเข้าร่วมการแข่งขันมอเตอร์ไซค์วิบากในรุ่นอายุไม่เกิน 9 ปี ที่จัดขึ้นที่ชายหาด Gold Coast ของประเทศออสเตรเลีย


     อายุที่ย่างเข้า 6 ขวบ จากที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ของครอบครัวสนุกสนานสโตนเนอร์ หนูน้อยสโตนเนอร์ก็เริ่มต้นการคว้าถ้วยรางวัลในระดับประเทศใบแรกของชีวิตมาเก็บไว้ในตู้โชว์ที่บ้านได้ตั้งแต่อายุเพียงแค่ 6 ขวบ ซึ่งนั่นนับเป็นจุดเริ่มต้นของอัจฉริยะตัวน้อย


     ช่วงอายุตั้งแต่ 6 ปี จนถึง 14 ปีของหนูน้อยสโตนเนอร์นั้น สิ่งเดียวที่เป็นความบันเทิงในชีวิตของเขาเห็นจะมีแต่การขี่รถและแข่งรถเท่านั้น ซึ่งปัจจัยที่เหมือนกันของทุกๆ นักแข่งที่ก้าวขึ้นมาเป็นนักแข่งระดับโลกในภายหลังนั้น ก็คือ ต้องได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจากครอบครัว ครอบครัวสโตนเนอร์เองก็มีความสุขสนุกสนาน ที่จะตระเวณพาเจ้าหนูสโตนเนอร์ไปทั่วประเทศออสเตรเลียเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันที่จัดขึ้นในที่ต่างๆ เป็นที่สนุกสนานทั้งตัวหนูน้อยสโตนเนอร์เองและครอบครัว ทั้งป่ะป๊า หม่าม้า และ พี่สาว เป็นยิ่งนัก (เป็นครอบครัวที่น่ารักจริงๆ)


     ครอบครัวสโตนเนอร์ได้เดินทางไปทั่งทั้งประเทศออสเตรเลีย พร้อมกับกระเตงเอาเจ้าหนูน้อยสโตนเนอร์ใส่รถไปด้วยเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันมอเตอร์ไซค์วิบากในสนามต่างๆ กลางคืนเจ้าหนูก็ดูดนมก่อนนอน พอเช้ามาก็ขึ้นมาขี่รถเป็นที่สนุกสนานยิ่งนัก ในช่วงชีวิตแห่งการเป็นนักสะสมถ้วยรางวัลอย่างจริงจังนั้น ก็ต้องถือว่าอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 9 ปีถึง 14 ปี ซึ่งจากข้อมูลที่มีนั้น เจ้าหนูอัจฉริยะ เคซี่ สโตนเนอร์ เข้าร่วมการแข่งขันมอเตอร์ไซค์แทบทุกประเภท แข่งมันทั้งทางเรียบทางไม่เรียบ ทั้งแบบความเร็วแบบวิบาก ในช่วงนั้น เคซี่ สโตนเนอร์ ทำสถิติ ชนะถึง 41 ครั้ง จากรายการแข่งขันทั้งหมดกว่า 70 รายการ จากการตระเวนแข่งขันทั่วประเทศออสเตรเลีย (บ้ากันทั้งบ้าน...)


     ที่ต้องถือว่าเด็ดที่สุดของการเป็นอัจฉริยะที่บ้าขี่รถก็คือ ในตอนที่สโตนเนอร์อายุ 12 ปี นั้น มีช่วงสุดสัปดาห์หนึ่งที่มีการแข่งขันจัดขึ้นถึง 35 รายการ ทั้งแบบเรียบแบบไม่เรียบ แน่นอนว่า...ไอ้บ้า บักหินน้อยของเรา (เคซี่ สโตนเนอร์) ของเราก็ได้เข้าร่วมแข่งกับชาวบ้านมันทั้งหมด 35 รายการ ทั้งแบบเรียบ แบบไม่เรียบ ประเภทความจุเครื่องยนต์สารพัดซีซีจากการแข่งขันทั้งหมด 35 รายการ ไอ้ที่มันเด็ดจริงๆ น่ะมันอยู่ตรงนี้ครับ...ไอ้หนูซุปเปอร์แว้นซ์ เคซี่ สโตนเนอร์ จัดการคว้าถ้วยรางวัลที่ 1 มาทั้งหมด 32 ถ้วย จากการแข่งขันทั้งหมด 35 ถ้วย (ดูมันทำ....) เหลือแค่ 3 ถ้วย ให้พี่ๆ เพื่อนๆ ไปแบ่งกันเอง....โถ..ใจด๊ำดำ แย่ไปกว่านั้นก็คือ มีอยู่ 5 รายการที่ถือว่าเป็นรายการระดับประเทศ เจ้าหนูสโตนเนอร์ก็จัดการเหมามันมาทั้งหมด 5 ถ้วยเอากลับบ้านทั้งหมดไม่แบ่งให้ใครเลย (แม่เจ้าโว้ย....สุดทรีน....)



     ช่วงชีวิตในวัยเด็กจนถึงช่วงเริ่มต้นแห่งการเป็นวัยรุ่นของ “เคซี่ สโตนเนอร์” นั้น ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเลยนอกจากการขี่รถและการแข่งรถ ด้วยปัจจัยที่เอื้อให้ในทุกๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นตัวสโตนเนอร์เองที่โปรดปรานการขี่รถ แค่เพียงขอให้ได้ขี่รถ ไม่ว่าจะเป็นขี่เล่น ขี่ซ้อม หรือ ขี่แข่ง ก็ไม่มีปัญหาใดๆ บวกกับปัจจัยแรงส่งจากครอบครัวสโตนเนอร์สนุกสนาน ที่เป็นทั้งพี่เลี้ยง ทั้งเพื่อนร่วมเดินทาง และคอยให้กำลังใจและการสนับสนุนอย่างยอดเยี่ยม และ สิ่งสุดท้ายที่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ใครๆ ก็สร้างมาด้วยตัวเองไม่ได้ และเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะสร้างความแตกต่างระหว่างคำว่า นักแข่งมืออาชีพ กับ นักแข่งระดับโลก นั่นคือ พรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดที่เหมือนกับจะบอกว่า “เคซี่ สโตนเนอร์” นั้น ถูกสร้างมาหรือส่งให้มาเกิดเพื่อเป็นนักแข่งมอเตอร์ไซค์ระดับโลกเท่านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงให้เป็นอื่นได้



อัจฉริยะดวงใหม่ที่ได้บังเกิด
 
     ด้วยวัยทีนเพียงแค่ 14 ปี ประเทศออสเตรเลียก็ดูจะเล็กเกินไปแล้วสำหรับ “เคซี่ สโตนเนอร์” เพียงแค่ไม่กี่วันหลังจากงานเป่าเค๊กวันเกิดครบรอบอายุ 14 ปีของ สโตนเนอร์ สุดยอดป๊ะป๋าสโตนเนอร์ซีเนียร์ ก็เริ่มมองหาหนทางที่จะสร้างหนทางแห่งอนาคตให้กับเจ้าหนูสโตนเนอร์ต่อไป แต่กฏหมายของประเทศออสเตรเลียนั้นกำหนดไว้ว่าการจะได้รับอนุญาติเพื่อเป็นนักแข่งจักรยานยนต์ทางเรียบอาชีพนั้น จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 16 ปี ขึ้นไป


     แม้ว่าสโตนเนอร์ในวัยเพียง 14 ปี จะมีฝีมืออันเอกอุก้าวล้ำนำหน้านักแข่งในวัยเดียวกันหรือแม้แต่รุ่นพี่ๆ แต่เนื่องด้วยข้อจำกัดทางกฏหมายที่ไม่อาจซิกแซกได้ ป๊ะป๋าสโตนเนอร์ซีเนียร์ก็จัดการมองหาหนทางใหม่ๆ สำหรับความหวังแห่งครอบครัวทันที ซึ่งในที่สุด คำตอบที่ได้ก็คือ ทั้งครอบครัวไม่รีรอที่จะเก็บกระเป๋าย้ายสำมะโนครัวไปตั้งหลักที่ประเทศอังกฤษทันที เพราะกฏหมายของอังกฤษนั้นอนุญาติให้สามารถขอใบอนุญาติเป็นนักแข่งมอเตอร์ไซค์ทางเรียบได้ตั้งแต่อายุแค่ 14 ปี


     ต้องนับว่าเป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดของครอบครัว ทั้งตัวคุณพ่อและคุณแม่ของ “เคซี่ สโตนเนอร์” ที่จะทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังที่ออสเตรเลีย และย้ายสำมะโนครัวกันทั้งหมดครอบครัวบักหิน มาอยู่กันที่ประเทศอังกฤษเพียงแค่เหตุผลเดียว...นั่นคือ..เพื่อให้เจ้าหนู “เคซี่ สโตนเนอร์” ได้เริ่มต้นการเป็นนักแข่งอาชีพ (สุดยอดครอบครัวจริงๆ อ่ะ..นับถือจริงๆ ใจเด็ดโคดๆ)    


     การตัดสินใจในครั้งนั้น หากถามญาติสนิทมิตรสหายของครอบครัวสโตนเนอร์ คำตอบที่ได้ร้อยทั้งสองร้อยต้องบอกกันเป็นเสียงเดียวว่า “บ้าอ๊ะป่าววะ...??” ซึ่งก็เป็นคำตอบที่ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด แต่กับความบ้าของครอบครัวสโตนเนอร์กลับเป็นการตัดสินใจอย่างยอดเยี่ยมแบบเหลือเชื่อกับสิ่งที่ได้ตามมาในภายหลัง   หลังจากย้ายบ้านยกครัวมาอยู่กันที่อังกฤษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ครอบครัวสโตนเนอร์ก็ไม่รอช้า จัดการเรื่องการสมัครแข่งขันมอเตอร์ไซค์ให้กับเจ้าหนูสโตนเนอร์ด้วยความรวดเร็ว เพียงแค่การเข้าแข่งขันแค่สนามเดียว ฝีมือและพรสวรรค์ของเจ้าหนูสโตนเนอร์ก็ไปเตะตาแมวมองเข้าจังเบ้อเร่อเล่นเอาตาปูดเขียวไปหลายวัน เพียงแค่การแข่งขันสนามเดียว เจ้าหนูและครอบครัวสโตนเนอร์ก็ได้รับข้อเสนอการสนันสนุนจากทีมเอพริลเลียทันที และนั่นก็ไม่ได้ทำให้ใครต่อใครโดยเฉพาะทีมเอพริลเลียผิดหวัง เจ้าหนูสโตนเนอร์จัดการคว้าแชมป์ในปี 2000 นั้นของประเทศอังกฤษมาครองโดยทันทีทันใด แม้ว่าจะเป็นการเข้าแข่งขันในรุ่น 125 ซีซี ทางเรียบของประเทศอังกฤษเป็นครั้งแรกก็ตาม..(สุดทรีนอีกแล้ว...)


     ในปีเดียวกันนั้นเอง สโตนเนอร์ ได้เข้าร่วมแข่งขันสแปนิชกรังปรีซ์ที่ประเทศสเปนสองครั้ง ด้วยฝีมืออันฉกาจฉกรรจ์และพรสวรรค์ที่ได้ฉายแววจรัสแสงออกมา แสงแห่งความเป็นอัจฉริยะก็ได้ทิ่มตาอดีตนักแข่งโมโตจีพี มิสเตอร์ อัลเบอร์โต พูอิค (Alberto Puig) เข้าอย่างจัง ด้วยความประทับใจในทักษะและพรสวรรค์รวมทั้งสไตล์การขับขี่ที่เปี่ยมไปด้วยการตัดสินใจอย่างเฉียบขาดยากที่จะหาได้ในนักแข่งวัยเดียวกัน มิสเตอร์อัลเบอร์โต ก็ไม่รอช้าร่ำไรแต่อย่างใด จัดการส่งเทียบเชิญซื้อตัวเพื่อแจ้งความประสงค์ให้เจ้าหนูอัจฉริยะ มาเข้าร่วมทีม เทเลโฟนิก้ามูฟวี่สตาร์ ด้วยความรวดเร็ว เพื่อให้มาเป็นนักแข่งสำหรับรายการการแข่งขันสแปนิชกรังปรีซ์ในปีถัดไปทันที


     ในปี 2001 “เคซี่ สโตนเนอร์” เข้าร่วมชิงชัยการแข่งขันทั้งบริติชกรังปรีซ์ ที่ประเทศอังกฤษ และ สแปนิชกรังปรีซ์ ที่ประเทศสเปน ทั้งสองรายการ ในปีนั้น สโตนเนอร์ต้องพลาดการแข่งขันและพลาดการเก็บคะแนนสะสมไปจากทั้งสองรายการเนื่องจากอุบัติเหตุจากการแข่งขันที่ สแปนิชกรังปรีซ์ที่ส่งผลให้เขาต้องพลาดการแข่งขันบริติชกรังปรีซ์ไปหนึ่งสนาม แต่แม้ว่าจะไม่ได้คะแนนสะสมกินไข่ต้มไปหนึ่งสนามเต็มๆ จากทั้งสองรายการกรังปรีซ์ สโตนเนอร์ ก็ยังอุตส่าห์คว้าตำแหน่งรองแชมป์มาครองอย่างสวยงาม


     ในปีเดียวกันนั้นเอง สโตนเนอร์ ก็ไดัรับสิทธิ์ ไวล์คาร์ด (wildcard) ให้เข้าร่วมแข่งขันรายการ โมโตจีพี 125 ซีซี ซึ่งสโตนเนอร์ก็ได้วาดลวดลายเข้าเป็นอันดับที่ 18 ที่บริติชกรังปรีซ์ และเข้าเป็นอันดับที่ 12 ที่ ออสเตรเลี่ยนกรังปรีซ์ และอีกครั้ง ทักษะและพรสวรรค์ของสโตนเนอร์ก็ไปเตะตาชาวบ้านเข้าอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ก็ถือเป็นอีกก้าวสำคัญ นั่นคือ สโตนเนอร์ ได้รับข้อเสนอที่พิเศษสุดอีกครั้งจากทีม ซาฟิโล อ็อกซิโด แอลซีอาร์ (Safilo Oxydo LCR Team) เพื่อให้มาเป็นนักแข่งของทีมในการแข่งขัน มอเตอร์ไซค์ทางเรียบระดับโลก เวิลดิ์ซีรี่ส์ เพื่อเข้าแข่งในปี 2002


     ในปี 2002 นั้น ด้วยวัยเพียง 16 ปี “เคซี่ สโตนเนอร์” เป็นนักแข่งในสังกัดทีม Safilo Oxydo LCR โดยแข่งขันในรุ่น 250 ซีซี แต่ในปีนั้น สโตนเนอร์ ไม่ได้คว้ารางวัลมากมายนัก รางวัลที่ดีที่สุดที่เขาได้ในปีนั้นคือ อันดับที่ 5 จากสนาม Brno ประเทศสาธารณรัฐเช็คเท่านั้น


     ถัดมาในปี 2003 กับทีม Safilo Oxydo LCR “เคซี่ สโตนเนอร์” ได้เข้าร่วมแข่งขันรายการสุดยอดมอเตอร์ไซค์ทางเรียบระดับโลก นั่นคือ รายการ จีพี 125 ซีซี กับรถเอพริลเลีย ภายใต้การฝึกสอนและควบคุมดูแลโดย ลูซิโอ เคชชีเนลโล (Lucio Cecchinello) ในปีนั้น สโตนเนอร์ก็เริ่มแสดงความเป็นอัจฉริยะของเค้าอีกครั้งและเริ่มคว้ารางวัลมากขึ้น ด้วยการคว้าอันดับที่ 1 จากการแข่งขันที่สนามบาเลนเซีย ประเทศสเปน... และคว้าอันดับที่ 2 จากการแข่งขันอีกสามสนาม โดยมีคะแนนรวมสะสมทั้งฤดูกาลอยู่ในอันดับที่ 8 ซึ่งต้องนับว่าในปี 2003 นี้เป็นปีแห่งการเริ่มต้นที่ดีของการเป็นนักแข่งมอเตอร์ไซค์ทางเรียบระดับโลก
 


     ต่อมาในปี 2004 “เคซี่ สโตนเนอร์” ก็ได้เซ็นสัญญาใหม่เพื่อย้ายมาอยู่กับทีม เรดบูลล์ เคทีเอ็ม (Red Bull KTM) เพื่อเป็นนักแข่งในรุ่น 125 ซีซี ซึ่งเจ้าหนูอัจฉริยะก็ได้มีการพัฒนาฝีมือขึ้นอย่างเป็นลำดับ ด้วยการเข้าเป็นอันดับที่ 1 ที่สนามเซปัง ประเทศมาเลเซีย ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของ KTM ที่สามารถชนะเข้าเป็นอันดับที่ 1 ได้ในการแข่งขันรายการระดับโลกนี้ และเข้าเป็นอันดับที่ 2 อีก สองครั้ง และ ที่ 3 อีกสามครั้ง แม้ว่า สโตนเนอร์ต้องออกจากการแข่งขันไปถึง 5 สนามโดยไร้แต้มกลับบ้าน (เพราะคว้ามห้าวของซุปเปอร์แว้นซ์) แต่ก็ยังสามารถคว้าคะแนนรวมสะสมเป็นอันดับที่ 5 จนได้ ซึ่งในปีนั้นต้องถือว่า สโตนเนอร์ ได้มีส่วนช่วยในการให้ข้อมูลเพื่อพัฒนารถ KTM ให้มีสมรรถนะที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน
 

     ปี 2005 สโตนเนอร์ ย้ายกลับมาอยู่กับทีมเอพริลเลีย ภายใต้การบริหารทีมโดย ลูซิโอ เคชชีเนลโล (Lucio Cecchinello) เจ้าเก่าอีกครั้ง แต่การกลับมาครั้งนี้ เป็นการเซ็นสัญญาเพื่อข้ามไปเป็นนักแข่งสู่รุ่นที่ใหญ่กว่าคือ รุ่น 250 ซีซี จีพี ในปีนี้ สโตนเนอร์ ก็ได้คู่แข่งอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกซะด้วย นั่นคือ แดนี่ เปโดรซ่า ที่ทั้งคู่ขับเคี่ยวชิงกันเข้าเป็นที่ 1 ตลอดทั้งฤดูกาล ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ซึ่งต้องนับว่าทั้งคู่นั้น เป็นนักแข่งที่มีฝีมือฉกาจฉกรรจ์และเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ด้วยกันทั้งคู่ สโตนเนอร์สามารถขึ้นโพเดียมได้ถึง 10 ครั้ง จากการแข่งขันทั้งหมด 16 สนาม และเข้าเป็นอันดับที่ 1 ถึง 5 ครั้ง แต่ด้วยความผิดพลาดจากอุบัติเหตุที่สนามที่เค้าน่าจะคว้าชัยไว้ได้ นั่นคือที่ ออสเตรเลี่ยนกรังปรีซ์ ที่ประเทศบ้านเกิดของเค้าเอง ทำให้เค้าต้องพลาดการเก็บคะแนนไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งแน่นอนว่าแชมป์เปี้ยนโลก รายการ 250 ซีซี จีพี ก็ตกเป็นของแดนี่ เปโดรซ่าไป และสโตนเนอร์ก็ได้ตำแหน่งรองแชมป์โลกในปีนั้น


     แต่อย่างไรก็ตาม แววแห่งความเป็นอัจฉริยะด้วยวัยที่ยังละอ่อนเพียงแค่ 19 ปี ก็เป็นที่เย้ายวนกับทีมแข่งโมโตจีพีซะจนหลายๆ ค่าย อดรนทนไม่ไหว เตรียมที่จะยื่นข้อเสนอให้กับเจ้าหนูอัจฉริยะเคซี่ สโตนเนอร์ เพื่อให้มาเป็นนักแข่งในสังกัด


     ดังนั้น เพียงแค่การเข้าแข่งขันรายการมอเตอร์ไซค์ทางเรียบระดับโลกเพียงไม่กี่ปี สโตนเนอร์ และ เป็นการแข่งขันรายการที่ใหญ่ที่สุด คือ รายการ จีพี ที่รุ่น 125 ซีซี จีพี เพียงแค่สองปี และในรุ่น 250 ซีซี จีพี เพียงแค่ปีเดียว เจ้าหนูอัจฉริยะ “เคซี สโตนเนอร์” ก็ได้รับโอกาสที่สำคัญที่สุดในอาชีพนักแข่งมอเตอร์ไซค์ นั่นคือการเสนอสัญญาเพื่อก้าวเข้าสู่รุ่นที่สุดยอดที่สุดของการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบที่มีบนโลกบูดๆเบี้ยวๆร้อนๆ ใบนี้ นั่นคือ รายการสุดยอด Moto GP 1000 ซีซี


     ย้อนหลังกลับไป 5 ปี ตอนที่ สโตนเนอร์ยังอยู่ในวัย 14 ปี ซึ่งเป็นตอนที่ครอบครัวสโตนเนอร์ต้องทำการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ที่จะต้องทิ้งบ้านเกิดเพื่อย้ายสำมะโนครัวจากประเทศออสเตรเลียมาลงหลักปักฐานกันที่ประเทศอังกฤษ สาเหตุก็เพียงเพื่อสร้างความฝันของหนูน้อยคนหนึ่งและอาจจะเป็นความฝันของทั้งพ่อ-แม่ และพี่สาวด้วย ให้เป็นความจริงขึ้นมา ซึ่งถึง ณ วันนี้ ต้องบอกว่าจากการตัดสินใจและลงทุนในครั้งนั้น เป็นสิ่งที่คุ้มค่าเกินบรรยายจริงๆ เพราะในตอนนี้นั้น เจ้าหนูเคซี่ สโตนเนอร์ นั่นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะถูกจำกัดอยู่แค่การแข่งขันในประเทศใดประเทศหนึ่งอีกต่อไป ความเป็นอัจฉริยะของเค้ามันถึงเวลาแล้วที่จะต้องประกาศให้โลกร้อนๆ ทั้งใบนี้ได้รับรู้กันเสียที



จากดาวรุ่งสู่ว่าที่แชมป์เปี้ยนโลกโมโต จีพี

     จากแววแห่งความเป็นดาวรุ่งอัจฉริยะของ เคซี่ สโตนเนอร์ ทำให้หลายต่อหลายค่ายผู้ผลิตรถยักษ์ใหญ่ให้ความสนใจที่จะดึงตัวเค้าเข้ามาเป็นนักแข่งในสังกัด มีกระแสข่าวลือเกิดขึ้นมากมายในระหว่างสิ้นฤดูกาลแข่งขันในปี 2005 ก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูกาลแข่งขันใหม่ในปี 2006 ว่าสโตนเนอร์จะย้ายไปสู่สังกัดใดกันแน่ แต่ที่ค่อนข้างจะเป็นไปได้สูงมากก็คือ ความเป็นอัจฉริยะของสโตนเนอร์นั้น มันเพียงพอแล้วที่จะก้าวข้ามจากรุ่น 250 ซีซี มาสู่รุ่นสุดยอด Moto GP แม้ว่าเค้าจะเพิ่งแข่งขันในรุ่น 250 จีพี เพียงแค่ปีเดียวก็ตามที


     ข่าวลือกระแสหนึ่งก็คือ สโตนเนอร์ อาจย้ายมาร่วมทีมยามาฮ่า ทีมเดียวกันกับ วาเลนติโน รอสซี่ เพราะว่า ในอีกฟากหนึ่งนั้น เป็นที่แน่นอนแล้วว่าสำหรับทีม เร็บโซล ฮอนด้า (Repsol Honda) นั้น นักแข่งคนใหม่ที่จะเป็นบั๊ดดี้กับ สุดหล่อฮิบฮอป นิกกี้ เฮย์เด้น ก็คือ คู่แข่งเก่าของเค้านั้นเอง ซึ่งก็คือ แชมป์โลกรุ่น 250 ซีซี ในปีที่ผ่านมา แดนี่ เปโดรซ่า นั่นเอง ดังนั้น กระแสการคาดเดาจากสื่อต่างๆ และแฟนๆ ที่มีต่อ เคซี่ สโตนเนอร์ จึงเกิดขึ้นอย่างเมามันส์



     ในทำนองเดียวกัน ทางทีมยามาฮ่าเองก็ได้แสดงออกให้เห็นว่า ทางทีมก็มีความสนใจที่จะดึง เคซี่ สโตนเนอร์ ในวัย 20 ปี กระเตาะๆ มาร่วมทีมไม่น้อย ซึ่งก็มาจากการที่ เจอร์รี่ เบอร์กีส ที่เป็นทั้งหัวหน้าทีมวิศวกรของทีมยามาฮ่าและถือว่าเป็นเซียนช่างประจำตัวสุดยอดเทพ วาเลนติโน รอสซี่ ได้เคยบอกไว้ว่า “สโตนเนอร์ นั้นถือเป็นนักแข่งที่อยู่ในใจของเค้าอีกหนึ่งคน ซึ่งจะเป็นการดีมากหากยามาฮ่านั้นได้สโตนเนอร์มาเป็นผู้ขับขี่ให้ และ สำหรับสโตนเนอร์แล้ว หนทางสู่จุดสูงสุดของการเป็นนักแข่งระดับโลกภายในเวลาอันรวดเร็วนั้น จะเป็นไปได้ก็มีแต่จะต้องมาร่วมทีมยามาฮ่าเท่านั้น” แต่ปัญหาวงในลึกๆ ของทีมยามาฮ่าเองนั้นก็คือ ในเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่อยู่ในระหว่างการต่อสัญญากับรอสซี่ ซึ่งทางผู้บริหารทีมเองก็ไม่แน่ใจว่าต้องเตรียมงบประมาณค่าใช้จ่ายสักเท่าไหร่ที่จะเพียงพอให้รอสซี่อยู่กับทีมต่อไป แล้วหลังจากการจ่ายงบประมาณมหาศาลนั้นแล้วงบประมาณที่เหลือจะเพียงพอที่จะเชิญชวนสโตนเนอร์มาร่วมทีมได้หรือไม่


     แม้แต่ท่านโคดเทพ วาเลนติโน รอสซี่ เอง ก็เคยได้ให้สัมภาษณ์แบบติดตลกนิดตามสไตล์ของเขาเองเกี่ยวกับสโตนเนอร์ไว้ว่า “คุณเจอร์รี่พูดเสมอว่าเมื่อไหร่ที่ผมเลิก เค้าก็จะเลิกด้วย แต่ผมไม่เชื่อเค้าหรอกครับ ผมว่าอ่ะนะ..ถ้าคุณเจอร์รี่เค้าหาดาวรุ่งพรสวรรค์อายุน้อยๆคนใหม่ได้ เหมือนอย่าง สโตนเนอร์ เนี่ยเค้าก็กลับมาทำทีมต่ออีกแหละ สำหรับผมน่ะตอนนี้ผมโอเคมากที่เจอร์รี่เค้าอยู่กับผมแต่หลังจากผมเลิกแข่งไปแล้ว ถ้าเค้าจะไปอยู่กับสโตนเนอร์ ผมก็โอเคนะ..”


     แต่ในที่สุดแล้ว เคซี่ สโตนเนอร์ ก็ยุติข่าวลือทั้งหมด ด้วยการกลับไปร่วมงานกับลูกพี่เก่า มิสเตอร์ ลูซิโอ เคชชีเนลโล (Lucio Cecchinello) อีกครั้ง แต่คราวนี้เค้ากลับมากับรถ ฮอนด้า RC211V ในฤดูกาลนี้ แม้ว่าจะไม่ได้มีความคาดหวังมากมายจากใครต่อใคร ต่อการคว้าอันดับของ สโตนเนอร์ ในปีนี้ แต่สโตนเนอร์ ในวัยเพียง 20 ปี ก็แสดงให้เห็นความเป็นอัจริยะด้วยการด้วยจบฤดูกาลกับคะแนนสะสมเป็นอันดับที่ 8 ได้ 1 โพลโพซิชั่นและได้ขึ้นโพเดียม 1 ครั้ง ในปีนี้นั้น สโตนเนอร์ได้เรียนรู้อย่างมากมาย เค้าทั้งล้ม ทั้งชน จนต้องออกจากการแข่งขันโดยไร้แต้มกลับบ้านไปถึง 6 สนามจากการแข่งขันทั้งฤดูกาลทั้งหมด 17 สนาม แต่ก็ต้องถือว่าเป็นปีที่ดีของสโตนเนอร์ในการเริ่มต้นปีแรกของการแข่งขันในรุ่นสุดยอด Moto GP
ในปี 2007 หลังจากฤดูกาลแข่งขันในปี 2006 ได้สิ้นสุดลง ข่าวกระแสการย้ายทีมของสโตนเนอร์ก็กลับมาอีกครั้ง แต่ว่าในครั้งนี้ ทุกอย่างรวดเร็วและง่ายดายกว่าครั้งที่ผ่านๆมา หนุ่มน้อยสโตนเนอร์ ในวัย 21ปี ก็ได้เซ็นสัญญามูลค่ามหาศาลกว่า 70 ล้านบาทเพื่อเป็นนักแข่งในสังกัดของทีมดูคาตี้ แห่งอิตาลี ซึ่งในปีนี้เช่นกันที่การแข่งขันในรุ่นสุดยอด Moto GP ได้ปรับเปลี่ยนขนาดของเครื่องยนต์มาอยู่ที่ 800 ซีซี (จากเดิม 1000 ซีซี)


     สโตนเนอร์เข้าร่วมทีมดูคาตี้เพื่อมาเป็นบัดดี้ร่วมทีมกับ สิงห์เฒ่าที่มากด้วยประสบการณ์อย่าง ลอริส คาปริรอสซี่ (Loris Capirossi) เป็นการผสมผสานนักขี่ของทีมที่ค่อนข้างจะลงตัว คนหนึ่งเป็นนักแข่งเก่าของทีมที่คว่ำหวอดมาในวงการโมโตจีพีมานานที่กลายเป็นขาเก๋า กับอีกคนที่รู้จักกันว่าเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงนักแข่งอัจฉริยะที่จะกลายมาเป็นความหวังใหม่ให้กับทีม
 


     กับสุดยอดรถเท่าที่ดูคาตี้จะสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ กับรถ Ducati Desmosedici GP7 การเข้ามาร่วมทีมของ เคซี่ สโตนเนอร์ ก็หมายถึงการจากไปของ เซเต้ จิเบอร์นาว ที่ต้องตกเป็นเหยื่อขี้ปากของใครต่อใครว่าต้องกระเด็มออกจากทีมเพราะการมาของอัจฉริยะหนุ่มเคซี่ สโตนเนอร์


     ในฤดูกาลแข่งขันปี 2007 นี้ อาจกล่าวได้ว่า เป็นปีทองของหนุ่มน้อย เคซี่ สโตนเนอร์ นับตั้งแต่ที่เค้าเข้าสู่วงการนักแข่งจักรยานยนต์อาชีพ ซึ่งถึงนาทีนี้แล้ว ี้ถ้วยแชมป์เปี้ยนโลกได้ตกมาอยู่ในมือข้างหนึ่งของไอ้หนุ่มอัจฉริยะ “เคซี่ สโตนเนอร์” เป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนออสเตรเลียแล้ว สิ่งเดียวที่สโตนเนอร์ต้องทำสำหรับอีก 7 สนามที่เหลืออยู่ก็คือ ขี่ให้ได้อย่างในครึ่งแรกของฤดูกาล หลีกเลี่ยงการปะทะ และหากสามารถขึ้นโพเดียมได้ทุกสนามก็น่าจะเพียงพอแล้วกับการก้าวสู่บังลังก์แชมป์โลกในปีนี้ แม้แต่ทั้งนิกกี้ เฮย์เด้น แชมป์เก่าในปี 2006 ฤดูกาลที่แล้ว และคู่แข่งเก่าดาวรุ่งของเขา แดนี่ เปโดรซ่า ยังออกมากล่าวว่าตำแหน่งแชมป์เปี้ยนในปี 2007 นี้นั้น คงต้องตกเป็นของสโตนเนอร์อย่างแน่นอน ซึ่งเขาทั้งคู่ก็ยอมยกให้แต่โดยดี


     แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สโตนเนอร์ผู้เงียบขรึมสุภาพเรียบร้อยของเราก็ยังได้กล่าวอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนไว้ว่า “คุณยังต้องไม่ลืมนะครับว่า วาเลนติโน รอสซี่ ก็ยังคงเป็น วาเลนติโน รอสซี่ เสมอ และต้องนึกถึงผลงานความสำเร็จที่เค้าได้เคยทำมาให้เห็นที่ผ่านมา ผมเองก็ยังอยากที่จะเห็นการขับขี่อันยอดเยี่ยมของเขาในอีกครึ่งฤดูกาลที่เหลืออยู่นี้” (โอย...ทั้งเก่ง.ทั้งสุภาพ..น่ารักจริงๆ)


     สโตนเนอร์ยังได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ผมอยากจะชนะอีกครับ ผมจะไม่ขี่แบบเลี้ยงๆ เพียงแค่เพื่อให้ได้แต้มสะสมแต่เพียงแค่นั้นครับ”


     ส่วนทางรอสซี่เองก็บอกว่า “ในการต่อสู้ครั้งนี้นั้น ผมต้องบอกว่า มันยากถึงยากมาก เพราะสโตนเนอร์เค้าเก่งมากจริงๆและการขับขี่ของเค้าในตอนนี้ไม่มีความผิดพลาดใดๆ เลย, แต่อย่างไรก็ตาม ผมยังไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน ผมจะสู้ให้เต็มที่กับอีก 7 สนามที่เหลืออยู่ ไม่ว่ากับใครหน้าไหนก็ตาม” ท่านเทพเหงเจีย... วาเลนติโน รอสซี่ คู่แข่งที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในปีนี้ ของสโตนเนอร์กล่าว...



บทสรุปแห่งอัจฉริยะคนใหม่

     แม้ว่าในสอง-สามปี ก่อน ชื่อ “เคซี่ สโตนเนอร์” อาจไม่ได้เป็นที่รู้จักของใครต่อใคร แต่ในวันนี้ ทั้งโลกร้อนๆ เบี้ยวๆ ใบนี้ โดยเฉพาะผู้ชมการแข่งขันโมโตจีพีทุกคน ไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อเขา สโตนเนอร์ในวันนี้แตกต่างจากสโตนเนอร์ในปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง ในปีนี้ สโตนเนอร์วัย 21 ปี เต็มไปด้วยความสุขุมรอบคอบ มีความเยือกเย็นในการชิงจังหวะมากกว่าที่จะระห่ำยัดตัวเองกับรถเข้าโค้งแล้วเกิดความผิดพลาดเหมือนกับที่ผ่านๆมา สนามไหนที่ฝืนไม่ได้ ก็ไม่พยายามเค้นตัวเองและรถจนสุดท้ายต้องออกจากการแข่งขันไปแบบกินไข่ต้ม ในปีนี้นั้น สโตนเนอร์ได้เติบโตขึ้นมากจากสไตล์การขับขี่ที่เปลี่ยนไปสุขุมมากขึ้น เยือกเย็นมากขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งความดุดันไม่เกรงกลัวใคร ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของหนุ่มน้อยอัจฉริยะผู้นี้


     แม้ว่า..จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า สิ่งหนึ่งที่เป็นปัจจัยที่ช่วยให้สโตนเนอร์คว้าชัยในหลายๆ สนามอย่างต่อเนื่องนั้นก็เพราะรถดูคาตี้ ที่ในปีนี้ มีความสมบูรณ์แบบชนิดที่ทำให้ใครต่อใครประหลาดใจ โดยเฉพาะอัตราเร่งและความเร็วปลายที่สามารถทำใด้ในช่วงทางตรง ความแรงของรถที่สามารถฉีกกระชากคู่แข่งขันออกเป็นชิ้นๆ อย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ต้องไม่ลืมว่า เพียงแค่รถอย่างเดียว ไม่ใช่ปัจจัยแห่งความสำเร็จ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริง รถดูคาตี้ก็น่าจะต้องเข้าเป็น ที่ 1 และ ที่ 2 ในทุกๆ สนาม แต่ผลการแข่งขันที่เกิดขึ้นนั้น จากทีมดูคาตี้นั้น มีเพียงสโตนเนอร์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่คว้าชัยเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 1 โดยไม่สนใจทีมเมทอีกคน


     แม้ว่าอีกครึ่งฤดูกาลที่เหลือจะเป็นอย่างไร หรือผลจากการรวบรวมคะแนนสะสมจากทั้งฤดูกาลจนถึงสนามสุดท้ายนั้นจะเป็นอย่างไรก็ตาม หรือใครก็แล้วแต่ที่จะก้าวขึ้นมารับเข็มขัดแชมป์เปี้ยนโลกในปีนี้ แต่วันนี้ ทุกคนได้ประจักษ์ถึงความเป็นอัจฉริยะของหนุ่มน้อยที่เงียบขรึมแต่เต็มไปด้วยรอยยิ้มคนนี้ สิ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์