ย้อนตำนานอินทรีเหล็ก ร่วมฉลอง100 ปีของทีมชาติเยอรมัน ( ตอนที่2 ปาฏิหาริย์แห่งเบิร์น )
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลงใหม่ๆ
ชาวเยอรมันทั้งประเทศ
ต้องเผชิญหน้ากับความยากแค้นอย่างแสนสาหัส
หลังต้องตกอยู่ในสภาพของประเทศผู้แพ้สงคราม
ประเทศต้องถูกแบ่งแยกออกเป็นสามส่วน
กลายไปเป็นเยอรมันตะวันออกและตะวันตก
และสาธารณะรัฐซาร์แลนด์ที่อยูู่ในการดูแลของฝรั่งเศส
โดยมีลัทธิทางการเมืองเป็นตัวแบ่งแยกประชาชนของแต่ละด้าน
ญาติพี่น้องบาดเจ็บล้มตายและสูญหายไปนับเป็นจำนวนไม่ถ้วน
ข้าวของเครื่องใช้ขาดแคลนและมีราคาแพง
สภาพบ้างเมืองมีแต่เศษซากของการทำลาย
จากสงครามใหญ่ที่เพิ่งจะผ่านพ้นมา
ไม่ต่างไปจากนรกบนดินแต่อย่างใด
[ แผนที่ของประเทศเยอรมันที่ถูกประเทศผู้ชนะสงครามแบ่งออกเป็นส่วนๆ ]
ทางด้านสมาพันธ์ฟุตบอลของเยอรมัน
ซึ่งได้ถูกแบนออกจากการเป็นสมาชิกของฟีฟ่า
ตั้งแต่ในช่วงของสงครามโลกนั้น
ก็ไม่ได้ส่งทีมเข้าร่วมคัดเลือกในรายการใดๆ
ดังนั้นเมื่อการแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 1950
ที่บราซิลรับเป็นเจ้าภาพนั้น
ทีมอินทรีเหล็กจึงไม่ได้เข้าร่วมแข่งขันแต่อย่างใด
[ สัญลักษณ์ของสมาคมฟุตบอลแห่งเยอรมันตะวันตก ]
ต่อมาปลายปี1950 สมาคมฟุตบอลแห่งเยอรมันตะวันตก
ได้ถูกจัดตั้งขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
โดยมีที่ตั้งของสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองแฟร๊งค์เฟิร์ต
และได้กลับเข้ามาเป็นสมาชิกทั้งกับ ฟีฟ่า
และ สมาคมฟุตบอลแห่งยุโรปอีกครั้งจากนั้นจึงได้เริ่มมีการก่อร่าง
สร้างทีมชาติขึ้นมา โดยมีเซปป์ แฮร์เบอร์เกอร์
กลับมารับหน้าที่เป็นบุนเดสเทรนเนอร์อีกครั้ง
โดยที่ในขณะนั้น
การแข่งขันฟุตบอลลีคภายในประเทศ
ยังไม่ได้มีการแข่งขันจนกว่าที่จะถึงปี 1951
[ ฟริซต์ วอลเตอร์ กับตันทีมเยอรมันตะวันตก ]
นักเตะทีมชาติของเยอรมันตะวันตกในยุคก่อตั้งนั้น
แฮร์เบอร์เกอร์นำอดีตนักฟุตบอลของทีมเยอรมันเดิม
ที่เคยเล่นให้กับเขาก่อนที่สงครามจะเริ่ม
และได้รับการปล่อยตัวมาจากค่ายกักกันเชลยศึกของโซเวียต
และ สัมพันธมิตร ให้กลับมารวมตัวกันเป็นทีมชาติอีกครั้งหนึ่ง
โดยมี ฟริซต์ วอลเตอร์ กับตันทีม ที่ติดทีมชาติมาตั้งแต่ปี 1940
ก่อนที่ในระหว่างสงครามได้เป็นทหารเข้าร่วมรบ
และโดนกักกันตัวอยู่ในค่ายเชลยศึกก่อนที่จะได้รับการปลดปล่อย
หลังสงครามสงบ ฟริซต์ วอลเตอร์
เกือบที่จะเสียชีวิตไปซะแล้วในปี 1950
จากการติดเชื้อมาลาเรียมาจากค่ายกักกัน
หลังจากการรักษาและพักฟื้นเขากลับรอดมาได้ราวปาฏิหาริย์
และกลับมาร่วมลงเล่นให้กับทีมไกเซอร์สลาเท่น
ได้อีกครั้งในปี 1951
[ โทนี่ ตูเร็ค ผู้รักษาประตู ในทีมปาฏิหาริย์แห่งเบิร์น 1954 ]
และยังมีผู้รักษาประตูหนุ่ม โทนี่ ตูเร็ค
ที่มีความว่องไวและอ่านเกมได้ดีโดดเด่นมาจากการ
ลงเล่นให้กับทีม ฟอร์ทูน่า ดุสเซ่นดอร์ฟ มาตั้งแต่ปี 1950
รวมไปถึงยอดดาวยิงจากทีม เนิร์นแบรก์ แม็ค มอร์ล็อก
และนักเตะดาวรุ่งจากทีมสโมสรร็อด ไวส์ เอสเส่น
นาม เฮลมุต ราห์น ...
[ เฮลมุต ราห์น ผู้เล่นที่เป็นความหวังของทีมอินทรีเหล็ก ]
เมื่อบุนเดสลีกายังไม่เข้าที่เข้าทาง
ทีมชาติเยอรมันตะวันตกจึงมีแต่เพียงการลงแข่งขัน
ในแม็ตช์กระชับมิตรที่ไม่เป็นทางการแต่เพียงอย่างเดียว
และในที่สุดฟุตบอลโลกก็ได้ต้อนรับทีมอินทรีเหล็กอีกครั้ง
เมื่อทีมเยอรมันตะวันตกสามารถที่จะผ่านทีมนอร์เวย์
และทีมซาร์แลนด์ เพื่อนร่วมสายเลือด
เข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบ 16 ทีมสุดท้าย
ที่จะจัดขึ้นในปี 1954 ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
ได้รับเกียรติ ให้เป็นเจ้าภาพ
เพราะเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบ
จากสงครามที่ผ่านมาน้อยที่สุดนั่นเอง...
....................................................................
1954 ฟุตบอลโลกที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ( ปาฏิหาริย์แห่งเบิร์น )
ฟุตบอลโลกที่สวิสเซอร์แลนด์ เมื่อปี 1954 นั้น
ในรอบแรกทีมเยอรมันตะวันตก
อยู่ร่วมสายเดียวกับ “ เดอะ โกลเด้นทีม ” ทีมชาติฮังการี
[ เดอะ โกลเด้นทีม ทีมชาติฮังการีสุดยอดทีมแห่งทศวรรษที่ 50 ]
ที่มีสถิติการลงเล่นก่อนที่จะมาถึงสวิสฯ ที่ทีมอื่นใดก็ต้องหวั่นเกรง
คือ ชนะ 43 เสมอ 7 และไม่แพ้ให้ต่อทีมใดมาตั้งแต่ปี 1950 แล้ว
และที่สำคัญทีมฮังการีทีมนี้
ได้บุกไปยัดเยียดความปราชัยที่น่าขายหน้า
ต่อทีมชาติอังกฤษ 6 ประตูต่อ 3
ถึงสนามเวมบลีย์ เมื่อ ปี 1953
[ ฟอร์เรนซ์ ปุสกัสกับตันทีมฮังการี่และ บิลลี่ ไรท์กับตันทีมอังกฤษที่เวมบลีย์1953 ]
และทีมเดียวกันนี้
ที่นำทัพมาโดย ยอดนักฟุตบอลแห่งยุค
ฟอเรนซ์ ปุสกัส ,ซานดอร์ ค็อคซิส
รวมไปถึงยอดดาวยิงตัวฉกาจ นาร์ดอร์ ไฮเด็กกูติ
ก็สามารถคว้าเหรียญทอง ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค ปี 1952
มาแล้วด้วย
[กลิวญ่า โกรซิกข์ผู้รักษาประตูของทีมฮังการี่ในเกมถลกหนังสิงโตปี1953 ]
อีกทั้งยังมีทีมวางอีกทีมก็คือทีมตุรกี ที่แข็งแกร่งและเฉียบคม
เป็นอุปสรรคสำคัญต่อทีมอินทรีเหล็กเป็นอย่างยิ่ง
โดยมีทีมไม้ประดับจากเอเซียอย่างเกาหลีใต้
เป็นทีมสุดท้ายของกลุ่มนี้
แต่การกำหนดกติการใหม่ที่น่าตลกในการแข่งขันครั้งนี้
ก็คือ มีการจัดทีมวางของกลุ่มแต่ละกลุ่มอยู่สองทีม
และทั้งสองทีมนี้ จะไม่ต้องพบกันในรอบแรก
แต่ต่างฝ่ายต้องลงเตะกับอีกสองทีมร่วมสายของตัวเอง สองครั้ง
ได้แก่ ทีมฮังการีจะต้องลงแข่งกับทีมเยอรมัน และ เกาหลีใต้
และตุรกี ก็ต้องเตะกับเกาหลีใต้และเยอรมัน
โดยที่ไม่ต้องลงเตะกับทีมฮังการีแต่อย่างใด
เพื่อเอาเพียงแค่สองทีมในสายเข้าไปเล่นในรอบต่อไป
[ เซปป์ แฮร์เบอร์เกอร์ บุนเดสเทรนเนอร์ของทีมเยอรมันปี 1954 ]
จากช่องโหว่ ของการจัดการแข่งขันนี้เอง
ทำให้บุนเดสเทรนเนอร์ เซปป์ แฮร์เบอร์เกอร์
ได้เล็งเห็นแล้วว่าหากทีมของเขาอยากที่จะเข้าไปเล่นรอบต่อไป
ก็ต้องเอาชนะทีมตุรกีให้ได้เพียงสถานเดียวเท่านั้น
โดยที่ไม่ต้องไปสนใจผลในเกมที่จะต้องลงเล่นกับทีมฮังการีแต่อย่างใด
“ เอาชนะตุรกีให้ได้ ” คือเป้าหมายเดียวที่เขาบอกกับลูกทีมทุกคน
ของทีมอินทรีเหล็ก ที่จะต้องทำให้ได้ในรอบแรกนี้
เกมนัดแรกในฟุตบอลโลก 1954 ของทีมอินทรีเหล็ก
ก็คือการลงเล่นกับทีมตุรกี ที่สนามวังก์ดอร์ฟ สเตเดี้ยม ในเมืองเบิรน์
ในวันที่ 17 มิถุนายน ท่ามกลางผู้ชมเต็มความจุของสนาม 39,000 คน
โดยมีกรรมการ ดาคอสต้า วิเอร่า ชาวโปรตุเกส ลงทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสิน
[ ฟริซต์ วอลเตอร์ กับตันทีมเยอรมันจับมือกับซีเรน เตอกาย ของตุรกี ]
ทีมเยอรมันตะวันตกขนผู้เล่นชุดใหญ่ลงเต็มอัตตาศึก
เช่นเดียวกับยอดทีมจากแดนเติร์ก
ที่ใส่ผู้เล่นชุดที่ดีที่สุดของตนลงเล่น
และเมื่อเวลาของการแข่งขันเดินไปถึงแค่นาทีที่ 2 เท่านั้นเอง
มาร์มัต ซูสท์ มิดฟิลด์ ของตุรกี ก็ทะลุขึ้นมาส่องประตูให้ทีมเติร์ก
ออกนำไปอย่างรวดเร็ว
แบบที่พลพรรคอินทีเหล็กงงเป็นไก่ตาแตกไปตามๆกัน
[กำแพงมนุษย์ของตุรกีป้องกันการยิงลูกโทษนอกเขตของทีมเยอรมัน]
แต่ยี่ห้อ “ เมค อิน เยอรมัน ” แล้ว
ใช้เวลาเพียงไม่นานก็เริ่มที่จะตั้งตัวติด
ในนาทีที่ 22
ฮันส์ ชาฟเฟอร์ ดาวยิงจากสโมสร โคโลจณ์
ก็สามารถทำประตูตีเสมอได้
ก่อนที่ครึ่งแรกทั้งสองทีมไม่สามารถเพิ่มสกอร์ได้อีก
เมื่อเกมการแข่งขันในครึ่งเวลาหลังเริ่มต้นขึ้น
พลพรรคอินทรีเหล็กที่โดนเทศนาจาก แฮร์เบอร์เกอร์ ในห้องแต่งตัว
ก็กลับลงมาด้วยความมุ่งมั่น
คราวนี้จึงเปิดเกม ถล่มปูพรมใส่ทีมจากแดนไก่งวงอยู่ข้างเดียว
และใช้เวลาเพียง 7 นาทีเท่านั้น
เบอร์นี่ โคล์ทก็หลุดขึ้นมาส่องให้ทีมขึ้นนำได้ป็นครั้งแรกของเกม
[ อ็อตม่าร์ วอลเตอร์ ]
ตุรกีเมื่อโดนขึ้นนำก็เริ่มที่จะเสียขบวนเริ่มเล่นพลาดมากขึ้น
และจากการประกบผิดพลาดทางริมเส้น
ทำให้เยอรมันเล่นลูกโยนยาวมาที่หน้าประตูของตุรกี
และเป็น อ็อตม่าร์ วอลเตอร์ โฉบขึ้นมาโหม่งลูกตุงตาข่าย
ให้ทีมอินทรีเหล็กนำไปเป็น
3 ประตูต่อ 1 ในนาทีที่ 60
เมื่อถูกทีเด็ดของทีมเยอรมันแบบนี้ผู้เล่นของทีมตุรกีก็ถอดใจ
เลยโดนแม็คมอร์ล็อกซ์ จัดการลูกที่ 4 ให้เยอรมัน
นำห่างไปเป็น 4-1 ก่อนที่จะหมดเวลาของการแข่งขันสิบนาที
และท้ายที่สุด
เยอรมันตะวันตกก็เก็บชัยชนะเหนือทีมตุรกีได้อย่างสวยงาม
[ คาร์ล ไมร์ ปะทะกับ เซเบ็ค เซตินส์ ของตุรกี ]
และหลังจากที่ลูกทีมสามารถเอาชนะตุรกีได้ตามแผนแรกที่วางไว้
ของกุนซือสมองเพชร เซปป์ แฮร์เบอร์เกอร์ แล้ว
ในนัดต่อมาที่ทีมอินทรีเหล็กต้องลงเล่นกับ
ยอดทีมแห่งยุคอย่างทีมฮังการี่ นั้น
แฮร์เบอร์เกอร์ ก็งัดแผนสองออกมาใช้
โดยถอดผู้เล่นตัวหลักจากนัดที่ถล่มตุรกีมาถึง 6 คน
เอาตัวสำรองลงบดแข้งกับฮังการี่แบบไม่หวังผล
และก็ทำได้ตามแผนที่วางไว้ โดยถูกทีมฮังการี่ถล่มไปเล่ะเท่ะ
ถึง 8 ประตูต่อ 3 แบบที่ผู้เล่นของทีมแม็กย่าร์สะบักสะบอมไปตามๆกัน
และ ปุสกัสก็เป็นคนที่โชคร้ายที่สุด
เพราะเจ็บหนักจากการถูกแวร์เนอร์ ลีบริช ของเยอรมันเสียบสกัด
จนไม่สามารถที่จะลงเล่นในเกมนัดต่อๆมาของฮังการี่ได้อีกเลย
จนถึงนัดชิงที่ปุสกัส
ต้องฝืนลากสังขารที่ไม่สมบรูณ์ืลงไปเล่น
และส่งผลเสียที่ใหญ่หลวงต่อทีมฮังการี่
[ ค็อคซิซ ส่งลูกผ่านมือของเคี้ยฟเคาว์สกี้ นายทวารมือสองของอินทรีเหล็ก ]
เกาหลีใต้หลังจากที่ถูก “ เดอะโกลเด้น ทีม” ฮังการี่
ถล่มมาในนัดแรก 9 ต่อ 0 แล้ว
มาในนัดที่สองก็โดน ทีมเติร์กช่วยสอนบอลให้
โดยถล่มไปเบาะๆ 7-0
ทำให้ทั้ง ตุรกี และ เยอรมันตะวันตก มีคะแนนเท่ากัน
โดยที่ในสมัยนั้นการนับลูกได้เสีย
ยังไม่เกิดขึ้นมาในโลกของกีฬาฟุตบอล
ทำให้ทั้งสองทีมต้องมาเล่นเพลย์ออฟ กันอีกที
เพื่อแย่งชิงที่นั่งสุดท้าย ตามฮังการี่
เข้ารอบต่อไป
[ ปุสกัส เจอลูกหนักของทีมสำรองอินทรีเหล็กสะบักสะบอมในเกมรอบแรก ]
เกมเพลย์ออฟมีขึ้นในตอนเย็นของวันที่ 23 มิถุนายน 1954
ที่เมือง ซูริค โดยใช้สนามฮาร์ททรัม สเตเดี้ยม เป็นสังเวียนแข้ง
มีผู้ชมเข้ามาเป็นสักขีพยาน18,000 คน
หลังจากสิ้นเสียงนกหวีดเริ่มเกมการแข่งขันจาก
นาย วินเซนติ กรรมการชาวฝรั่งเศสแล้ว
ทีมอินทรีเหล็กที่วันนี้มาในชุดเยือนสีเขียว
ก็ดาหน้าพาบอลขึ้นไปถล่มใส่ทีมเติร์ก
แบบไม่ให้ทันตั้งตัว
[ เออร์เดม นาร์ซี่ ดวลกับ โทนี่ ตูเร็ค นายทวารของอินทรีเหล็กในเกมนัดที่2 ]
และเพียงแค่ 7 นาทีเท่านั้น “ วอลเตอร์ ผู้น้อง”
อ็อตม่าร์ ก็ได้ลูกที่เปิดมาที่หน้าปากประตูของทีมตุรกี
จึงสับไกเข้าไปให้เยอรมันออกนำไปอย่างรวดเร็ว
ต่อมาในนาทีที่ 12 ฮันส์ ชาฟเฟอร์
ก็พาบอลหลุดเข้าไปยิงประตูให้ทีมอิทรีเหล็กออกนำห่างไป 2-0
ก่อนที่ มุสตาฟา เออร์ตัน
จะโหม่งประตูตีตื้นให้ตุรกีตามมาเป็น 1-2
ในนาทีที่ 21
แต่ตุรกีดีใจได้เพียงแค่ 9 นาทีเท่านั้น
แม็ค มอร์ล็อกซ์ จอมถล่มประตูจากทีมสโมสรนูเรมเบิร์ก
ก็ส่องไกลส่งบอลเสียบตาข่าย
ให้เยอรมันตะวันตกหนีไปอีกเป็น 3-1
ก่อนที่จะหมดครึ่งเวลาแรก
[ โครเมเย่อร์ กองหลังอินทรีเหล็กสกัดบอลจาก เน็คเม็ตติน ของตุรกี ]
เมื่อครึ่งหลังเริ่มขึ้นมา
ทีมอินทรีเหล็กก็ยังไม่ยอมที่จะผ่อนเกมลงเลยแม้แต่น้อย
และก็เป็นมอร์ล็อกซ์ คนเดิม ที่ทำประตูได้อีกในนาทีที่ 60
และอีกสองนาทีต่อมา
ทีมเติร์กก็โดนทีเด็ดจากกับตันทีมอินทรีเหล็ก
ฟริซต์ วอลเตอร์ ยิงให้เยอรมันนำตุรกีห่างออกไปอีกเป็น 6 -1
และในนาทีที่ 77
แม็ค มอร์ล็อกซ์ ก็ยิงลูกที่สามให้กับตัวเองเป็นแฮทริก
และเป็นสกอร์ที่ 7 ของทีม
ก่อนที่ตุรกีจะมาทำประตูที่สองก่อนจบเกม8 นาที
โดยเลฟเตอร์ ให้ตุรกีเป็นลูกสุดท้าย
และเมื่อหมดเวลาของการแข่งขัน
เยอรมันตะวันตกก็ถล่มตุรกี ไปด้วยผล 7ประตูต่อ 2
ผ่านเข้ารอบตามทีมฮังการี่ไปได้สำเร็จ...
เกมรอบควอเตอร์ไฟนัล
ระหว่างเยอรมันตะวันตกพบกับทีมยูโกสลาเวีย
มีขึ้นในวันที่ 27 มิถุนายน ที่สนามชาร์ไมล์ ในเจนีวา
ท่ามกลางผู้ชม 20,000 คน
ก่อนเกมจะเริ่มทีมยูโกสลาเวียถูกวางให้เป็นต่อทีมอินทรีเหล็ก
อยู่พอสมควรจากฟอร์มที่ผ่านมาในรอบแรก
ทีมสลาฟไม่แพ้ต่อทีมร่วมกลุ่มเลย โดยเอาชนะฝรั่งเศสมา1-0
และเสมอกับทีมแซมบ้าบราซิลมา1-1
ในเกมที่ต้องมีการต่อเวลาออกไป
[ 5 ขุนพลจากทีมไกเซอร์สลาเท็นที่เป็นกำลังหลักของทีมอินทรีเหล็ก ]
แต่ในเกมนี้กลับเป็นทีมเยอรมันที่เล่นได้ดีกว่า
และได้ประตูขึ้นนำไปก่อนแบบมีโชคช่วย
เมื่อ อีวาน ฮอร์วัต กองหลังของทีมสลาฟ
โหม่งบอลไม่ดีทำให้ลูกฟุตบอลลอยเปลี่ยนทาง
เข้าประตูทีมตัวเองไปในนาทีที่ 9 ของการแข่งขันเท่านั้นเอง
เมื่อเสียประตูไปก่อน นักเตะยูโกฯก็เริ่มวิ่งกันเหมือนผึ้งแตกรัง
เปิดเกมบุกเข้าหาประตูของฝ่ายเยอรมัน
เพื่อถวงประตูที่เสียไปคืนมา
แต่ไม่ว่าจะบุกมาอย่างไรก็ตาม
ลูกฟุตบอลของทีมสลาฟก็ไม่สามารถที่จะผ่านการป้องกัน
ของ โทนี่ ตูเร็ค นายทวารของอินทรีเหล็กไปได้เลย
ตลอดครึ่งเวลาแรก
[ หลังเกมจบในวันดับทีมสลาฟ ทีเจนีวา ]
เกมในครึ่งเวลาหลังก็เป็นไปเหมือนในครึ่งแรก
ทีทีมเยอรมันตั้งรับรอสวนกลับโดยมียูโกฯ
สาดบอลเข้าไปในแดนของทีมเยอรมันตลอดเวลา
และเมื่ิอบลันโก ซีเบ็ค กองหน้าของยูโกฯ
มีโอกาสส่งบอลผ่านมือของ
ตูเร็คนายทวารเยอรมันไปได้แล้วในครั้งหนึ่ง
แต่กลับมี โครเมเย่อร์ กองหลังจอมขยัน
มาสกัดบอลที่กำลังจะข้ามเสันประตูออกมาได้อีก
และจากการบุกหมดทั้งทีมของยูโกฯนี้เอง
ในนาทีที่ 85 จากบอลที่ถูกสกัดที่แดนของทีมเยอรมันก็ถูกโต้กลับมา
โดยที่ไม่มีกองหลังของทีมยูโกฯคนใดจะไล่ทัน
เฮลมุต ราห์น ก็จัดการซัดบอลผ่านมือของ วลาดิเมียร์ บรีร่า
นายทวารสลาฟ เป็นประตูชัยส่งอินทรีีัเหล็กโบยบินผ่าน
เข้ารอบรองชนะเลิศไปพบกับทีมออสเตรีย
ที่เปิดเกมดวลสกอร์อย่างสุดมันในเกมดับเจ้าภาพ
สวิสเซอร์แลนด์มา 7-5
ทั้งๆที่ตามหลังสวิสฯก่อนถึงสามประตู...
[ 11 ขุนพลเยอรมันตะวันตกวันดวลกับออสเตรียรอบตัดเชือก ]
รอบรองชนะเลิศของศึกฟุตบอลโลก 1954 ที่สวิสเซอร์แลนด์
คู่แรกนั้น.....
เมจิก แม็กย่าร์ ฮังการี่
โชว์ฟอร์มว่าที่แชมป์โลกทีมใหม่ได้อย่างสวยงาม
เมื่อถล่มเอาชนะแชมป์เก่าอุรุกวัยไป 4-2
หลังจากที่เสมอกันในเวลาปกติอย่างสุดมัน 2-2
ที่เมืองโลซานน์
และที่สนามเซนต์ จาค็อป ของเมืองบาเซิ่ลในวันที่ 30 มิถุนายนนั้น
แฟนฟุตบอลต่างพากันแออัดยัดเยียดกัน
เต็มความจุของสนาม 58,000 คน
และยังมีแฟนฟุตบอลชาวเยอรมันและออสเตรีย
ที่พากันมาเชียร์แต่ไม่สามารถที่จะเข้ามาในสนามได้อีกหลายหมื่นคน
พากันฟังการถ่ายทอดเสียงอยู่ที่ด้านนอกของสนาม
[ ทีมชาติออสเตรีย 1954 ]
ทีมอินทรีเหล็กอยู่ในชุดสีเขียวอีกครั้ง
เหมือนในวันที่ดับตุรกีมาในรอบแรกนักเตะต่างมีสีหน้าที่มั่นใจ
และมุ่งมั่นที่จะถล่มทีมน้องจากดาร์นู๊ป
ผ่านเข้าไปล้างแค้นทีมฮังการี่ในนัดชิงที่เบิร์นให้ได้
เมื่อเริ่มเกม 11 นักเตะเยอรมันก็ทำเกมพาบอลรุกเข้าไป
ในแดนของทีมออสเตรียอย่างน่ากลัว
จนเมื่อครึ่งชั่วโมงผ่านไปความพยายามของอินทรีเหล็กก็เป็นผล
เมื่อชาฟเฟอร์ได้ลูกที่ฟริซต์วอลเตอร์เปิดเข้ามาให้
จากด้านข้างสนามอย่างเหมาะเหม็ง
จึงกดประตูให้เยอรมันออกนำไปก่อน
ในครึ่งเวลาแรก
และเมื่อเริ่มครึ่งเวลาหลังได้เพียงแค่ 2 นาที
เยอรมันได้ลูกเตะมุมมาที่หน้าประตู
แต่วอร์เทอร์ ซีมันส์ ผู้รักษาประตูออสเตรียไม่ยอมออกมาตัดบอล
แม็ค มอร์ล็อค จึงโหม่งลูกที่2เข้าไป
[ ผู้ชมในศึกฟุตบอลโลก 1954 ที่สวิสเซอร์แลนด์ ]
่ในนาทีที่ 51 อีลิทส์ โพส์ท ก็ยิงประตูตีตื้นให้ออสเตรียตามมาเป็น 1-2
แต่ทีมดานู๊ปดีใจได้แค่ 3 นาที ก็ต้องสังเวยประตูให้กับเยอรมันอีก
เมื่อ ราห์นโดน คาร์ค โคลเล่อร์เสียบล้มลงในเขตโทษ
และฟริซต์ วอลเตอร์จัดการสำเร็จโทษ
ให้เยอรมันหนีไปเป็น 3-1 อีกครั้ง
หลังเสียประตูนี้ก็เหมือนกับเขื่อนแตก
แผงหลังของออสเตรียกลายเป็นทำนบที่แตกออกมาแล้ว
ในนาทีที่61 จากลูกเตะมุมของฟริซต์ผู้พี่
อ็อตม่าร์ วอลเตอร์ ก็ขึ้นโหม่งลูกหนังตุงตาข่ายอีกเป็น 4-1
และก็เป็นฟริซต์ วอลเตอร์ที่ได้สังหารจุดโทษอีกครั้ง
ให้เยอรมันนำขาดเป็น 5-1
ก่อนที่จะมีการฉลอง ก็มีประตูสุดท้ายตามมาในนาทีที่ 89
จากลูกโหม่งโล่งๆของอ็อตม่าร์อีกครั้ง
สุดท้ายทีมอินทรีเหล็กก็ตามไล่ล่าทีมฮังการี่ได้สำเร็จ
โดยจะเข้าไปพบกับขุนพลแม็กย่าร์อีกครั้ง
ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1954 ที่เมืองเบิร์น
ในวันอาทิตย์ที่ 4 กรกฏาคม โดยมี
ถ้วยทองคำจูลส์ ริเม่ต์ เป็นเดิมพัน...
[ ถ้วยจูลส์ ริเม่ต์ รางวัลแก่ผู้ชนะเลิศเวิล์ดคัพ 1954 ]
วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฏาคม 1954 นัดชิงชนะเลิศ
มีขึ้นที่สนามวังก์ดอร์ฟ สเตเดี้ยม ในเมืองเบิร์น
คนดูเข้ามาเต็มความจุของสนาม 60,000 คน
เพื่อเป็นสักขีพยานในนัดนี้....
[ วังก์ดอร์ฟ สเตเดี้ยม สังเวียนนัดชิงชนะเลิศ 1954 ]
ซึ่งมีเรื่องประหลาดมหัศจรรย์บังเกิดขึ้น
ก่อนที่เกมการแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น
ก่อนหน้าที่จะถึงวันชิงนั้น
ในการฝึกซ้อมของทีมเยอรมันในวันหนึ่งได้เกิดมีฝนตกหนักลงมา
แต่เซปป์ แฮร์แบอร์เกอร์ ยังคงให้นักเตะซ้อมต่อไป
ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก
[ แผนผังการจัดตัวของคู่ชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 1954 ]
เพราะก่อนหน้าที่ฟุตบอลโลกครั้งนี้จะเริ่มขึ้น
อดิ ดาสเล่อร์ หนึ่งในสต๊าฟของทีมเยอรมัน
และเป็นผู้คิดและพัฒนารองเท้าฟุตบอลรุ่นใหม่พิเศษให้แก่ทีมเยอรมัน
ใช้แข่งในรายการนี้ โดยเฉพาะ
รองเท้ารุ่นใหม่นี้จะมีความเบายิ่งขึ้น
และสามารถที่จะถอดเปลี่ยนปุ่มออกได้
เพื่อให้มีความเหมาะสมในสภาพสนามที่แตกต่างกัน
เช่นเวลาที่มีฝนตกหนัก สภาพสนามเละเป็นโคลน
ทำให้ทีมเยอรมันที่ได้ใส่รองเท้ารุ่นใหม่นี้มาโดยตลอด
จะมีความได้เปรียบทีมฮังการี่ที่นักเตะส่วนมาก
ยังใช้รองเท้าแบบเดิมๆอยู่
[ อดิ ดาสเล่อร์ กับรองเท้าวิเศษของเขา ]
และในวันชิงชนะเลิศนั้น
จากที่มีแสงแดดสดใสมาตลอดช่วงเช้า
ก่อนที่เกมการแข่งขันจะเริ่มขึ้นไม่นาน
จู่ๆก็เกิดฝนตกลงมาขนาดหนัก
ทำให้พื้นสนามวังก์ดอร์ฟ นั้นเปียกชุ่มไปหมด
[ บรรยากาศก่อนที่เกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 54 จะเริ่มขึ้น ]
แฮร์แบอร์เกอร์ ถึงกับเปรยออกมาว่า...
วันนี้ฟ้าเป็นใจ ให้กับเยอรมันแล้ว...
อากาศแบบนี้เป็นใจให้กับฟริซต์ โดยเฉพาะเลย
เนื่องมาจากฟริซต์ วอลเตอร์
เป็นนักเตะที่เล่นได้ดีในสนามที่เปียกแฉะเช่นนี้
และทีมที่อาศัยเทคนิคในการเล่นลูกบนพื้นได้เยี่ยมแบบทีมฮังการี่
จะโยนความได้เปรียบที่มีทิ้งไปจนหมดสิ้น
[ ฟริซต์ วอลเตอร์ และ ฟอร์เรนซ์ ปุสกัส สองกัปตันทีมคู่ชิง ]
และเมื่อสิ้นเสียงนกหวีดเริ่มการแข่งขัน
จากนายลิงก์ วิลเลี่ยม กรรมการผู้ตัดสินชาวอังกฤษ
ช่วงเวลาแห่งความตื่นเต้นก็เริ่มต้นขึ้น......
[ ไฮเด็คคูติ พยายามพังประตูเยอรมัน โดยมีเอ็กเคิ่ล มองดูอยู่ ]
ทั้งสองทีมผลัดกันรุกและรับ ต่างดูท่าทีกันแบบไม่ยอมผลีผลาม
แต่เมื่อกองหลังของทีมเยอรมันพลาดเป็นครั้งแรกก็โดนลงโทษทันที
เมื่อ ค็อกซิซ ได้โอกาสยิงประตูแต่ลูกกระดอนไปถูก
ฮอร์ส เอ็กเคิล และมาเข้าทางปืนของ ฉลามร้ายอย่างปุสกัส
และก็ไม่พลาด 1-0 ฮังการี่ขึ้นนำไปอย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่นาทีที่ 6 ของเกม
[ ประตูขึ้นนำของฮังการี่ โดย ฟอร์เรนซ์ ปุสกัส ]
และไม่ทันที่ทีมอินทรีเหล็กจะตั้งตัวได้
อีกสองนาทีต่อมาเมื่อ โครเมเย่อร์ส่งลูกคืนหลังไปให้ตูเร็คไม่ดี
ลูกหลุดออกมาให้ โซลตัน ซีบอร์
ดาวซัลโวของแม็คย่าร์จิ้มเข้าประตูไปง่ายๆเป็น 2-0
ภาพจากเกมที่โดนฮังการี่ยำมา 8-3
ในรอบแรกกลับมาหลอกหลอนทีมอินทรีเหล็กอีกแล้วหรือ ?
[ ซานดอร์ ค็อคซิซ พยายามโหม่งพังประตูทีมเยอรมัน ]
แต่คราวนี้ไม่เหมือนคราวนั้น
ขุนพลอินทรีกลับไม่ยอมถอดใจง่ายๆอีกแล้ว
ในนาทีที่ 10 ราห์นกึ่งยิงกึ่งผ่านมาที่หน้่าประตูของฮังการี่
ผ่านกองหลังมาทั้งหมดจนมาเข้าทางของ แม็ค มอร์ล็อค
แหย่ขาสุดเหยียดจิ้มลูกบอลเข้าประตูไป
เยอรมันตะวันตกกลับมาแล้ว...
[ แม็ค มอร์ล็อค จิ้มลูกตีไข่แตกให้อินทรีเหล็ก ]
เมื่อได้ประตูตีตื้นมาแล้ว
ก็เหมือนกับได้ยามากระตุ้นให้ผู้เล่นของเยอรมันมีเรี่ยวแรงและกำลังใจ
จึงดาหน้าเปิดเกมบุกใส่ทีมฮังการี่อย่างหนัก
และเกือบได้ประตูตีเสมอสำเร็จ
แต่ถูกกองหลังฮังการี่สกัดออกหลังไปได้หวุดหวิด
[ โกรซิกข์ ป้องกันประตูจากการบุกหนักของเยอรมัน ]
และจากลูกเตะมุม
ฟริซต์ วอลเตอร์ เปิดลูกโด่งมาที่หน้าปากประตูฮังการี่
แต่ลูกกลับลอยโด่งข้ามมือของโกรซิกข์ ผู้รักษาประตูฮังการี่
และ ฮันส์ ชาฟเฟ่อร์ กองหน้าของเยอรมัน
มาตกลงที่หน้าของ เฮลมุต ราห์น
แล้วก็ไม่มีทางที่ราห์นจะพลาด
2-2 เกมกลับมาเท่ากันอีกครั้งหนึ่งแล้ว...
[ ประตูตีเสมอฮังการี่ 2-2 ของอินทรีเหล็ก ]
จากที่นำไปก่อนสองลูกกลับมาโดนตีเสมอ
ทำให้ผู้เล่นของทีมฮังการี่ เริ่มหัวเสีย โวยวายใส่กันเองแล้ว
จนกุสตาฟ เซเปซ เทรนเนอร์ต้องออกมาแก้เกมที่ข้างสนาม
และเมื่อจบครึ่งเวลาแรกทั้งสองทีมมีสกอร์เท่ากันอยู่
[ โกรซิกข์ นายทวารฮังการี่พุ่งสุดเหยียดปฏิเสธประตูของอินทรีเหล็ก ]
กลับลงมาเล่นในครึ่งหลัง
ทีมฮังการี่ก็็เดินหน้าฆ่ามันใส่ทีมอินทรีเหล็กอยู่ข้างเดียว
มีลูกหวาดเสียวให้ โทนี่ ตูเร็ค ต้องออกแรงเซฟตลอดเวลา
ทั้ง ค็อคซิซ , ไฮเด็ดคูติ และ ปุสกัส
ต่างพากันดาหน้าพาบอลมาหวังพังประตูชัยให้ได้
แต่ทีมอินทรีเหล็กก็มีดวงได้ทั้งเสาและคาน
ช่วยไว้ได้ตลอด
[ โซลตัน ซีบอร์ พยายามยิงประตู แต่ตูเร็คพุ่งออกมาบล็อคได้ ]
จนเหลือเวลาของการแข่งขันอีกเพียง 6 นาทีเท่านั้น
ปาฏิหาริย์แห่งเบิร์นก็เกิดขึ้น
วอลเตอร์เปิดบอลจากด้านซ้ายของสนามมาที่หน้าประตู
Love illusion ความรักลวงตา เพลงที่เข้ากับสังคมonline
Love illusion Version 2คนฟังเยอะ จนต้องมี Version2กันทีเดียว
Smiling to your birthday เพลงเพราะๆ ไว้ส่งอวยพรวันเกิด หรือร้องแทน happybirthday