จะว่าไปแล้วการที่จะได้รับการจดจำไปทั่วโลกนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะแม้จะคว้าแชมป์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะได้รับการจดจำ ในทางตรงกันข้ามหากไม่ประสบความสำเร็จแต่มีฟอร์มการเล่นที่ตื่นตาตื่นใจ บางครั้งก็อาจจะไม่ได้แชมป์แต่ผลงานในสนามเป็นที่จดจำมากกว่าคว้าสำเร็จก็มีเยอะแยะไป ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บางครั้งแชมป์อาจจะไม่ได้รับการกล่าวถึงมากกว่ารองแชมป์ ทั้งนี้ทั้งนั้น ลองมาพิจารณาว่า 10 อันดับที่ติดชาร์ตในสัปดาห์นี้ ยิ่งใหญ่และน่าจดจำอย่างที่เขาว่ากันไว้หรือไม่
10. สเปน (2008) ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว สเปน เป็นหนึ่งในทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะฝีเท้าฉกาจฉกรรจ์ยากที่จะหาทีมไหนมาเปรียบเทียบ คู่กองหน้าที่สุดคมอย่าง ดาบิด บีย่า กับ เฟร์นานโด ตอร์เรส โดยมีแผงกองกลางที่แน่นปึ้กได้แก่ มาร์คอส เซนน่า, อันเดรส อิเนียสต้า และ ดาบิด ซิลบา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทัพ กระทิงดุ ภายใต้มันสมองของ หลุยส์ อราโกเนส กุนซือขรัวเฒ่า จะผงาดครองแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 ได้อย่างยิ่งใหญ่ และเป็นการทำลายฝันร้ายของแฟนบอลสเปน ที่รอคอยแชมป์รายการระดับชาติมาครองได้เสียที
9. ฮอลแลนด์ (1974) ให้ตายเหอะในศึกฟุตบอลโลก 1974 เยอรมันตะวันตก ผงาดคว้าแชมป์ไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่ และหลายครั้งที่ทุกคนมักจะพูดว่าใครๆ ก็จำได้แต่ทีมที่เป็นแชมป์ส่วนรองแชมป์ไม่มีใครสนใจ ประโยคนี้ใช้ไม่ได้กลับทีมชาติฮอลแลนด์ ยุค โยฮัน ครัฟฟ์ เพราะแม้พวกเขาจะเป็นแค่เบอร์2 ในปีนั้นก็ตาม แต่แฟนลูกหนังทั่วโลก ต่างจดจำลีลาการเล่นของทัพ อัศวินสีส้ม ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะระบบการเล่นแบบ โททั่ล ฟุตบอล ซึ่งพวกเขาทำให้ทุกชาติต้องสยบใต้แทบเท้ามาแล้ว ยกเว้นก็แต่ เยอรมัน เนื่องจากทัพ อินทรีเหล็ก มี ไอ้ลูกระเบิด แกร์ด มุลเลอร์ อยู่ ทำให้ ฮอลแลนด์ เป็นได้แค่พระรองที่ฝีเท้าดีกว่าแชมป์แต่ไม่มีมงกุฏสวมอยู่บนกบาลเท่านั้น
8. ฮังการี (1954) ต้องบอกว่า ฮังการี ยุคนั้น ผู้เขียนยังร่อนเร่พเนจรอยู่บนส่วนไหนของโลกก็ไม่รู้ แต่ความยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้รับการกล่าวขวัญกันมาตลอด โดยตอนนั้น ฮังการี มีหนึ่งในนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง เฟเรนซ์ ปุสกัส โดยพวกเขาผ่าด่านอรหันต์เข้ารอบชิงฯ มาดวลกับ เยอรมันตะวันตก และมงกุฎแชมป์ก็สวมอยู่ในหัวพวกเขาแล้ว เมื่อออกนำทัพ อินทรีเหล็ก 2-0 แต่เหมือนชะตาฟ้าลิขิตให้ เยอรมัน เป็นเจ้าลูกหนัง เนื่องจากพวกเขาเดินหน้าแบบไม่มีหยุด และยิงคืนแบบทบต้นทบดอก 3 ลูกรวด พลิกกลับมากระชากมงกุฏออกจากกบาลของ ฮังการี ไปหน้าตาเฉย เรื่องก็เป็นล่ะฉะนี้
7. เอซี มิลาน (1989) ไม่มีใครกล้าเถีงว่า ปีศาจแดง-ดำ ปีนั้น สุดยอดเหนือคำบรรยายจริงๆ เพราะพวกเขามีเกมรับที่แข็งแกร่งด้วยนักเตะสายพันธุ์อิตาเลียน ส่วนเกมรุกมี 3 ทหารเสือเลือดดัตช์ ได้แก่ เพชฌฆาตพรายกระซิบ มาร์โก แวน บาสเท่น, ไอ้งูเก็งก็อง รุด กุลลิท และจอมถุยแห่งชาติ แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด เป็น 3 ประสานทำลายเกมรับของคู่แข่งพังย่อยยับอับปางกันเลยทีเดียว และมี คาร์โล อันเชลอตติ และ โรแบร์โต้ โดนาโดนี่ รวมทั้ง 2 ปราการหลังดุจภูผาหิน ฟรังโก้ บาเรซี่ กับ เปาโล มัลดินี่ โดยการคว้าแชมป์ลีกมะกะโรนี กลายเป็นเรื่องปกติของ เอซี มิลานไปแล้ว ส่วนในฟุตบอลถ้วยยุโรปพวกเขาไล่ถล่ม สเตอัว บูคาเรตส์ เละเทะ 4-0 ชนิดที่ทีมจากโรมาเนีย เมาประตูจนออกจากสนามคัมป์ นู ไม่ถูกเลยขอบอก
6. อังกฤษ (1966) มันเหมือนกับเป็นธรรมเนียมของสื่อจากเมืองผู้ดีที่ต้องยกย่อง อังกฤษ ชุดคว้าแชมป์เวิลด์ คัพ 1966 อาจเป็นเพราะทีมชุดนั้นแข็งแกร่งจริงๆ และแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยมี ไม่งั้นคงไม่มีเกียรติประวัติระดับชาติเพียงชิ้นเดียวประดับอยู่ในตู้โชว์ หรืออาจเป็นเพราะไม่รู้ว่าจะหาทีมชุดไหนมาเทียบได้ ก็เลยเอาชุดนี้นี่แหละ แต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาทำผลงานได้อย่างสุดยอดจริงๆ โดยในยุคนั้นนักเตะระดับโลกอย่าง กอร์ดอน แบงก์ส, บ็อบบี้ ชาร์ลตัน และ เจฟฟ์ เฮิร์ส บทขยี้ เยอรมันตะวันตก คว้แชมป์โลกมาครองได้สำเร็จ แต่ขอบอกว่านักเตะลูกหลานของพวกเขาเพิ่งจะทำงามหน้า โชว์ห่วยในฟุตบอลโลก 2010 โดน อินทรีเหล็ก ไล่ถล่ม 4-1 ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย อย่างเจ็บช้ำระกำอุรา
5. อินเตอร์ มิลาน (2010) ไม่มีทีมไหนจะไร้เทียมทานเท่ากับ อินเตอร์ ภายใต้การกุมบังเหียนของ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือจอมอหังการ เพราะเขาสามารถปั้นให้ งูใหญ่ กลายเป็นทีมในตำนานไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อนำ อินเตอร์ คว้าทริปเบิ้ลแชมป์ เป็นสโมสรแรกในวงการลูกหนังเมืองมะกะโรนี ซึ่ง มิลาน คู่อริตลอดชาติยังไม่เคยย่ำกายเทียบเท่าได้เลย อินเตอร์ ชุดนี้มีข้อเสียอยู่เรื่องเดียวก็คือไม่มีนักเตะชุดใหญ่เป็นชาวอิตาเลียน เลย แต่แฟนบอล เนรัซซูรี่ บางคนให้เหตุผลน่าสนใจว่าชื่อก็บอกว่า อินเตอร์ ฉะนั้นภายในทีมก็ย่อมมีความหลากหลายในเชื้อชาติของนักเตะแต่ละคน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะมีผู้เล่นร้อยพ่อพันธุ์แม่ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือความสำเร็จ และเป็นความสำเร็จที่ยากจะมีทีมใน อิตาลี ทำได้ซะด้วย (อืมแชมป์พูดอะไรไม่ผิดหรอกจ้า)
4. ลิเวอร์พูล (1984) ลิเวอร์พูล ไม่มีทางหลุดจากสุดยอดทีมของโลกแน่นอน โดยนักเตะชุดนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยศักยภาพ และได้รับฉายาว่าเป็น เครื่องจักรสีแดง เพราะการต่อเกมอย่างไหลลื่นจนคู่แข่งแทบจะหาบอลไม่เจอ และกว่าจะได้สัมผัสลูกกลมๆ ก็ตอนที่เดินไปเก็บมันที่ก้นตาข่าย ต้องขอบอกว่า หงส์แดง ชุดนั้น เป็นทีมแรกของอังกฤษที่คว้าทริปเบิ้ลแชมป์ แม้บางคนอาจบอกว่ามันยังไม่ใช่ขนาดนั้น เพราะนอกจากแชมป์ลีกสูงสุด กับ ยูโรเปี้ยนคัพ แล้ว แชมป์ลีก คัพ ไม่ถือว่าเป็นถ้วยใบใหญ่ในอังกฤษ แต่ขอบอกว่าสมัยนั้นถ้วยใบนี้มีแต่ทีมอยากได้ไม่ต่างอะไรกับถ้วยเอฟเอ คัพ แต่ความสำคัญของมันโดน เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กับ อาร์แซน เวนเกอร์ กระทืบซะจนไม่เหลือศักดิ์ศรีอีกต่อไป (ไม่ได้กล่าวหานะ บรรดาเกจิเมืองผู้ดีเขาพูดกันมา)
3. เรอัล มาดริด (1960) เฟเรนซ์ ปุสกัส กับ อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่ รวมพลังสร้างความมหัศจรรย์ให้กับโลกลูกหนัง ด้วยการช่วยกันยิงให้ ราชันชุดขาว ถล่ม ไอนด์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต 7-3 และทำให้พวกเขาผงาดครองแชมป์ถ้วยบิ๊กเอียร์สมัยที่ 5 ติดต่อกัน ขอบกว่าทีมชุดนั้นไม่มีใครทัดเทียมได้เลย และไม่แน่ว่าทีมชุดปัจจุบัน จะมีปัญญาเทียบเท่าได้หรือเปล่า เพราะเห็นฟอร์มแล้วยากเหลือเกิน เอาแค่แซงหน้า บาร์เซโลน่า คว้าแชมป์ลา ลีกา ให้ได้ก่อน ค่อยคิดการณ์ใหญ่ที่จะทาบรัศมี เรอัล ยุคตำนานได้
2. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (1999) ต้องบอกว่าการคว้าทริปเบิ้ลแชมป์ของ ปีศาจแดง น่าจะมีเรื่องโชคชะตาฟ้าลิขิต บวกกับความเฮงเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะหากไม่รับการได้แชมป์พรีเมียร์ลีก แล้ว เอฟเอ คัพ ต้องบอกว่าพวกเขาเหมือนถูกพระเจ้าขีดเส้นให้คว้าแชมป์ทั้งที่น่าจะตกรอบด้วยน้ำมือ ลิเวอร์พูล ไปแล้ว แต่ดันมายิง 2 ประตูในช่วง 2 นาทีสุดท้าย ขณะเดียวกันในรอบรองชนะเลิศ ยังมาได้ประตูผีบ้าจากการลากเลื้อยตะลุยเดี่ยวของ ไรอัน กิ๊กส์ ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ชนะ อาร์เซน่อล ส่งผลให้เข้ารอบชิงฯ และกระทืบ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด สบายๆ 2-0 ส่วนในรอบชิงชนะเลิศ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แมนฯ ยูไนเต็ด ใกล้จะม้วยมรณาอยู่แล้ว แต่ผีห่าซาตานตนไหนก็ไม่รู้ดันแอบมาสิงอยู่ที่ตีนขวาของ เดวิด เบ็คแฮม ก่อนจะบรรจงลูกเตะมุมให้ เท็ดดี้ เชอริงแฮม กับ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ยิง 2 ประตูในช่วงทดเจ็บ และคว้าแชมป์ไปครองชนิดที่แฟนบอล บาเยิร์น มิวนิค กับสาวก เดอะ ค็อป ช็อกกันไปเลยจ้า อิ อิ อิ
1.บราซิล (1970) นี่คือทีมที่ดีที่สุดในโลก และไม่มีทีมไหนจะทัดเทียมได้ ทัพ แซมบ้า ซึ่งอุดมไปด้วยนักเตะทักษะสูงนำขนวบโดย เปเล่ หากใครยากรู้ว่าเกมรับคือเกมรุกที่ดีที่สุด หรือเกมเดินหน้าฆ่าลูกเดียวไม่สนเกมรับ และคำพูดที่ว่านอกจากผู้รักษาประตูแล้ว นักเตะเลือดกาแฟ ทั้งหมดมักจะเดินหน้าอยู่ที่แดนของคู่แข่ง ฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าทำไม บราซิล ถึงไล่กระหน่ำ อิตาลี สบายเกือก 4-1 คว้าแชมป์เวิลด์ คัพ บนแผ่นดินเม็กซิโก มาครองอย่างยิ่งใหญ่ ขอบอกตามตรงว่าฟอร์มการเล่นของ เซเลเซา ชุดนี้ ยังหาทีมไหนมาเทียบได้ เพราะเล่นเกมรุกได้สะแด่วแห้วที่สุด และดูเหมือนว่าคงจะไม่มีทีมไหนที่จะเล่นได้แบบนี้อีกแล้ว ภายใต้ยุคปัจจุบันที่มีนิยามว่าเล่นเกมรับให้แน่นมีลุ้นคว้าแชมป์บอลโลก
ขอขอบคุณท่านตุมเม้ง จากเว็ป สยามสปอร์ตครับ