ตรงข้ามกับชาวเมอร์ซี่ไซด์ที่กลายเป็น "เมอร์ซี่แซด" เพราะไม่ว่า ลิเวอร์พูล หรือ เอฟเวอร์ตัน สองความภูมิใจของเมืองต่างก็เจอวิกฤตชีวิต งานเข้าพอๆ กัน
ทั้งหงส์ และท็อฟฟี่ ลงเตะรวมกัน 20 นัดหลังสุดทุกรายการ มีชนะรวมแล้วแค่ 3 นัด ลิเวอร์พูลแบ่งไปสอง เอฟเวอร์ตันแค่หนึ่ง อาทิตย์นี้มาเจอกันเองที่กูดิสันพาร์ก จึงเป็นบอลถูกคู่สุดสุด
อยู่ในสภาพเสือลำบากอย่างนี้ ถ้าดันแพ้เกมดาร์บี้แมตช์ซ้ำอีกคิดดูแล้วกันว่าจะเลวร้ายขนาดไหน โดยเฉพาะหากทีมนั้นดันเป็น เอ้อ....ลิเวอร์พูล
หงส์แดงต้นทุนสูงกว่าท็อฟฟี่เยอะไงครับ ทุกวันนี้ที่ชนะแค่สองจากสิบเกมมันก็ตกจนแทบไม่มีอะไรเสีย เครดิตสโมสร รวมทั้งความมั่นใจของนักเตะเสื่อมกันไปหมด ที่เหลืออยู่ก็แค่ศักดิ์ศรี กับความหวังริบหรี่ ที่ ราฟา เบนิเตซ กับลูกทีมต้องรักษาไว้สุดชีวิต
สถานการณ์ในถิ่นแอนฟิลด์เปราะบางมากๆ ถึงผู้บริหารจะยืนยันให้ราฟา คุมทีมต่อ แต่การตามหลังจ่าฝูงเชลซีในพรีเมียร์ลีก 13 แต้ม แถมยังตกรอบแบ่งกลุ่มแชมเปี้ยนส์ลีก มันไม่ควรเป็นผลงานของลิเวอร์พูล
ราฟา ต้องทำให้ลิเวอร์พูลกลับมาเป็นลิเวอร์พูล อย่างน้อยเอาให้ใกล้เคียงกับฤดูกาลก่อนก็ยังดี
ส่วนเอฟเวอร์ตันเป้าหมายที่ตั้งไว้แต่แรกคือ ลุ้นติดท็อปโฟร์ คงไม่มีใครพูดถึงในตอนนี้ แต่ทุกคนก็รู้ดีว่า ถ้าพลิกชนะหงส์แดงขึ้นมาย่อมเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเรียกความมั่นใจกลับมาได้ดีที่สุด
ท็อฟฟี่เมนตกเพราะเจอปัญหาเดียวกับลิเวอร์พูล คืดตัวหลักๆ ทยอยกันเจ็บบ้างติดโทษแบนบ้าง อย่างล่าสุด ฟิล เนวิลล์ กับ ลีออน ออสมัน สองตัวเก๋าเจ็บไปทั้งคู่แต่ก็ยังมีข่าวดีอยู่บ้างเพราะ ดินิยาร์ บิลยาเลตดินอฟ กับ มาธูยาน เฟลไลนี่ พ้นแบนกลับมาทันเวลา
การที่ต้องเปลี่ยนทีมไปๆ มาๆ กระทบต่อความสม่ำเสมอของเอฟเวอร์ตัน เมื่อรวมกับเกมรับที่รั่วจากการขาด ฟิล จาเกียลก้า ทีมของ เดวิด มอยส์ ก็เลยอ่อนลงไปมาก
แต่ไม่ว่าเอฟเวอร์ตันจะช้ำแค่ไหน เจอลิเวอร์พูลทีไรก็เล่นกันสูสี ชี้ขาดกันตรงความคมกับ "ของวิเศษ" เท่านั้น
ที่ผ่านมาเจอกัน 10 นัดหลังบ้านท็อฟฟี่ หงส์แดงบุกชนะได้ 7 ครั้งเพราะมีของวิเศษอย่าง เฟร์นันโด ตอร์เรส, สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด แต่สภาพปัจจุบันใครๆ ก็รู้ว่า "เอลนินโญ่" ยังเจ็บขาหนีบจี๊ดๆ สตีวี่ จี ก็ต้องฉีดยาแก้ปวดลงสนาม เกมของลิเวอร์พูลจึงขาดความขลังไปเยอะ
ดูสภาพแล้วไม่ต่างกันมาก อาจตัดสินด้วยหัวใจนักสู้ล้วนๆ
ถ้าจะลุ้นบอลเทคนิค สวยงาม และเฉียบขาด ต้องไปเอาจากลอนดอนดาร์บี้ คู่อาร์เซน่อลปะทะเชลซี ทีมจ่าฝูง
คู่นี้หากเจอกันตอนเต็มๆ 100 เปอร์เซ็นต์ อาร์เซน่อลไม่น่าเป็นรอง แต่เสียดายที่ดันมาขาดหัวหอก โรบิน ฟานเพอร์ซี่ แถมยังไม่มีแบ๊คซ้ายทั้งตัวจริง-ตัวสำรอง กาแอล คลิชี่ กับ คีแรน กิ๊บส์ ที่เจ็บไปพร้อมๆ กันเสียอีก
สู้กับเชลซีที่แทบจะเพอร์เฟคท์ ถ้าไม่ครบเครื่องจริง ผ่านลำบากครับ
โปรแกรมแข่งพรีเมียร์ลีก
วันเสาร์ที่ 28 พ.ย. แบล๊คเบิร์น-สโต๊ก, ฟูแล่ม-โบลตัน, แมนฯซิตี้-ฮัลล์, ปอร์ทสมัธ-แมนฯยู, เวสต์แฮม-เบิร์นลีย์, วีแกน-ซันเดอร์แลนด์, แอสตัน วิลล่า-สเปอร์ส วันอาทิตย์ที่ 29 พ.ย. วูล์ฟแฮมป์ตัน-เบอร์มิงแฮม, เอฟเวอร์ตัน-ลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อล-เชลซี
โปรแกรมถ่ายทอดสดทางทรูวิชั่นส์+ฟรีทีวี
คืนวันเสาร์ที่ 28 พ.ย. เวลา 22.00 น. แบล๊คเบิร์น-สโต๊ก(ทรูวิชั่นส์ ช่อง 27), ฟูแล่ม-โบลตัน(ทรูสปอร์ต 5 ช่อง 63, คลับแอล ช่อง 107), แมนฯซิตี้-ฮัลล์(ทรูสปอร์ต 3 ช่อง 61, คลับซี ช่อง 109), ปอร์ทสมัธ-แมนฯยู(ทรูสปอร์ต 1 ช่อง 59, คลับเอ็ม ช่อง 106), วีแกน-ซันเดอร์แลนด์(ทรูสปอร์ต เอ็กซ์ตร้า 2 ช่อง 67) เวลา 00.00 น. สปอร์ติ้ง กิฆอน-บียาร์รีล(ทรูสปอร์ต 5 ช่อง 63) เวลา 00.30 น. แอสตัน วิลล่า-สเปอร์ส(ฟรีทีวีช่อง 3, ทรูสปอร์ต 3 ช่อง 61, คลับซี ช่อง 109, คลับเอ็ม ช่อง 106) เวลา 02.00 น. บาเลนเซีย-รีล มายอร์ก้า(ทรูสปอร์ต 1 ช่อง 59) เวลา 02.45 น. เจนัว-ซามพ์โดเรีย(ทรูสปอร์ต 3 ช่อง 61) เวลา 04.00 น. เซบีญ่า-มาลาก้า(ทรูสปอร์ต 1 ช่อง 59)
คืนวันอาทิตย์ที่ 29 พ.ย. เวลา 19.30 น. วูล์ฟแฮมป์ตัน-เบอร์มิงแฮม(ทรูสปอร์ต 3 ช่อง 61, คลับซี ช่อง 109) เวลา 20.30 น. เอฟเวอร์ตัน-ลิเวอร์พูล(ทรูสปอร์ต 1 ช่อง 59, คลับแอล ช่อง 107) เวลา 21.00 น. อินเตอร์-ฟิออเรนติน่า(ทรูสปอร์ต 3 ช่อง 61), กายารี่-ยูเวนตุส(ทรูสปอร์ต 5 ช่อง 63) เวลา 23.00 น. อาร์เซน่อล-เชลซี(ทรูสปอร์ต 1 ช่อง 59) เวลา 23.30 น. ฮันโนเวอร์-บาเยิร์น(ทรูสปอร์ต 3 ช่อง 61) เวลา 01.00 น. บาร์เซโลน่า-รีล มาดริด(ทรูสปอร์ต 1 ช่อง 59)