รอย โจนส์ จูเนียร์ มีชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่ยังชกมวยสากลสมัครเล่นอยู่ เมื่อติดทีมชาติสหรัฐอเมริกา ในรุ่นไลท์มิดเดิลเวท ในการแข่งขันโอลิมปิคที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ โจนส์สามารถผ่านไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศได้ แต่ปรากฏว่าเมื่อต้องพบกับ ปาร์ค ซี-ฮัน นักมวยเจ้าภาพ โจนส์ถูกปล้นชัยชนะไปอย่างหน้าตาเฉย โดยแพ้คะแนนไปอย่างขัดสายตาคนดูทั้งโลก ซึ่งผลการชกในครั้งนี้ถือเป็นข้อครหาข้อหนึ่งของการแข่งขันโอลิมปิคครั้งนี้เลยทีเดียว
หลังจากนั้น จึงหันมาชกมวยสากลอาชีพ มีสถิติชนะรวด โดยไม่มีแพ้หรือเสมอ จนได้มีโอกาสชิงแชมป์โลกรุ่นมิดเดิลเวท สหพันธ์มวยนานาชาติ (IBF) ที่ว่างอยู่กับ เบอร์นาร์ด ฮอปกินส์ นักมวยเพื่อนร่วมชาติ ผลปรากฏว่าโจนส์เป็นฝ่ายเอาชนะคะแนนไปได้อย่างสบายเมื่อครบ 12 ยก เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 1993
ในรุ่นนี้โจนส์ป้องกันแชมป์เพียงครั้งเดียว โดยชนะน็อกไปในยกที่ 2 จากนั้นจึงสละเข็มขัดขึ้นไปชกในรุ่นที่ใหญ่กว่าเดิม คือ ซูเปอร์มิดเดิลเวท และได้ชิงแชมป์โลกในรุ่นนี้ของ IBF กับ เจมส์ โทนีย์ ปรากฏว่าโจนส์ก็สามารถเอาชนะได้อย่างขาดลอยอีกเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 1994
รอย โจนส์ จูเนียร์ ป้องกันตำแหน่งแชมป์ซูเปอร์มิดเดิลเวทไว้ได้ทั้งหมด 5 ครั้ง แล้วจึงสละแชมป์ขยับขึ้นไปชกในรุ่นไลท์เฮฟวี่เวท จนได้โอกาสชิงแชมป์ที่ว่างของ WBC กับ ไมค์ แม็คคัลลัม ก็ปรากฏว่าโจนส์ก็เป็นฝ่ายเอาชนะคะแนนไปได้อีกเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1996 ที่เมืองแทมปา
แต่แล้วนักมวยไร้พ่ายอย่าง รอย โจนส์ จูเนียร์ ก้ต้องมาพบกับความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก เมื่อป้องกันตำแหน่งแชมป์ไลท์เฮฟวี่เวทนี้ครั้งแรก เมื่อแพ้ฟาลว์ต่อ มอนเทล กริฟฟิน ไปอย่างไม่มีใครคาดคิดมาก่อน เพราะชกติดพันขณะที่กริฟฟินทรุดลงไปในยกที่ 9 กรรมการห้ามบนเวทีเห็นว่าเป็นการชกซ้ำ จึงตัดสินให้โจนส์แพ้ไป
รอย โจนส์ จูเนียร์ จึงเก็บความแค้นนี้ไว้ และมาระบายออกเมื่อได้โอกาสล้างตากับกริฟฟินอีกครั้ง คราวนี้โจนส์น็อกกริฟฟินแย่งเข็มขัดแชมป์คืนมาได้แค่ยกแรกเท่านั้นเอง เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 1997
รอย โจนส์ ป้องกันตำแหน่งในรุ่นไลท์เฮฟวี่เวทนี้ไว้ได้ถึง 12 ครั้ง โดยทำการรวบแชมป์ของทั้ง 3 สถาบันใหญ่ และสถาบันเล็ก ๆ อย่าง IBO และ IBA และรวมถึงสถาบันระดับภูมิภาคอย่าง NBA ด้วย ซึ่งในช่วงนี้ รอย โจนส์ จูเนียร์ ได้รับการยกย่องให้เป็นนักมวยที่เก่งกาจที่สุดในโลกเมื่อเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ จนเรียกได้เลยว่า ไม่มีใครที่จะเป็นคู่ปรับกับโจนส์ได้ในรุ่นระหว่างนี้ บวกกับการออกหมัดที่ว่องไวมาก จนกล่าวได้ว่าเป็นสปีดหมัดที่ไวที่สุดในวงการมวยโลกเท่าที่เคยมีมาเลยทีเดียว
จากนั้น รอย โจนส์ จึงข้ามไปชกในรุ่นเฮฟวี่เวท ทั้งที่รูปร่างไม่ได้ให้เลยกับการชกในรุ่นนี้ แต่โจนส์คิดอยากจะเป็นแชมป์โลกเฮฟวี่เวทสักครั้ง และโจนส์ก็ประสบความสำเร็จเมื่อเป็นฝ่ายเอาชนะคะแนน จอห์น รุยซ์ แชมป์โลกเฮฟวี่เวทชาวเปอร์โตริกัน ของ WBA ไปได้เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2003 ทั้งที่ก่อนการชกโจนส์ชั่งน้ำหนักได้เพียงแค่ 193 ปอนด์เท่านั้น (88 กิโลกรัม) ขณะที่รุยซ์หนักถึง 226 ปอนด์ (103 กิโลกรัม) และนับว่าโจนส์เป็นนักมวยที่ขึ้นมาจากรุ่นมิดเดิลเวทเป็นคนแรกในรอบ 106 ปี ที่สามารถเอาชนะในรุ่นเฮฟวี่เวทได้ และเป็นคนแรกด้วยที่ขึ้นมาจากรุ่นมิดเดิลเวทที่ได้แชมป์โลกในรุ่นเฮฟวี่เวท
จากนั้นโจนส์ก็ได้สละแชมป์โลกไปโดยไม่ได้ป้องกันตำแหน่งกับใคร เพื่อลดกลับไปชกในรุ่นไลท์เฮฟวี่เวทที่เหมาะสมกับตนเองตามเดิม และโจนส์ก็สามารถเอาชนะคะแนน อันโตนิโอ เทรเวอร์ นักมวยเพื่อนร่วมชาติเจ้าของเหรียญทองแดงในโอลิมปิคที่แอตแลนต้า ได้เป็นแชมป์โลกไลท์เฮฟวี่เวทของ WBC และ IBO อีกครั้ง แต่ผลการชกครั้งนี้หลายฝ่ายเห็นว่าเทเวอร์ทำได้ดีกว่าและน่าจะเป็นฝ่าสยชนะคะแนนมากกว่า ทั้งคู่จึงได้ล้างตากันอีกครั้ง ในวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 2004 คราวนี้ปรากฏว่าเป็นฝ่ายเทรเวอร์ที่เอาชนะทีเคโอโจนส์ได้ไปอย่างหายสงสัย
จากนั้นรอย โจนส์ ได้หวนกลับมาชิงแชมป์โลกอีกครั้งของ IBF กับคู่ปรับเก่าที่เคยเอาชนะมาแล้วอย่าง เกล็น จอห์นสัน ปรากฏว่าโจนส์เป็นฝ่ายแพ้น็อกจอห์นสันไปอีกในยกที่ 9 เมื่อเดือนกันยายน ปีเดียวกัน
หลังจากนั้นในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2005 โจนส์ก็ได้มีโอกาสชกล้างตาอีกครั้งกับเทรเวอร์ คราวนี้โจนส์ก็เป็นฝ่ายแพ้คะแนน 12 ยกไปอีก ท่ามกลางเสียงกล่าวขานว่า หมดยุคของเขาแล้ว
รอย โจนส์ จูเนียร์ ยังคงชกทำฟอร์มไปอีก 3 ครั้ง รวมทั้งการเอาชนะคะแนน เฟลิกซ์ ทรินิแดด อดีตยอดนักมวยชาวเปอร์โตริกันที่หวนกลับชกอีกครั้งในรุ่นไลท์เฮฟวี่เวทด้วย
และรอย โจนส์ ก็ได้พบกับ โจ คัลซากี้ ยอดนักชกชาวเวลส์ ผู้เป็นเจ้าของสถิติไม่แพ้ใครและเป็นแชมป์ไลท์เฮฟวี่เวทผู้ป้องกันตำแหน่งไว้ได้มากมายของ WBO เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 และเป็นฝ่ายแพ้คะแนนไปเมื่อครบ 12 ยก ท่ามกลางหน้าตาที่แตกยับเยิบ และรอย โจนส์ ก็ยังไม่ได้ขึ้นเวทีอีกเลยนับจากนี้
ในช่วงที่รุ่งเรือง รอย โจนส์ จูเนียร์ นอกจากถูกยกย่องว่าเป็นนักมวยที่เก่งที่สุดในโลกเมื่อเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์แล้ว เขายังใช้เวลาว่างจากการชกมวยเล่นบาสเก็ตบอลด้วย โดยเล่นในทีมของรัฐฟลอริดาบ้านเกิดในลีกระดับรองมาจาก NBA และยังเป็นศิลปินเพลงแร็ป ได้ออกอัลบั้มถึงหลายชุด และยังเป็นนักแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดในบทตัวประกอบอีกด้วย ผลงานการแสดงของโจนส์ก็ได้แก่ The Devil's Avocate ในปี ค.ศ. 1996 และ The Matrix Reloaded ในปี ค.ศ. 2003 เป็นต้น
Love Attack เทศกาลความรักแบบนี้ บอกอ้อมๆให้เขารู้กัน
Chocolate Dreams สาวชั่งฝันและช็อคโกแลต กับหนุ่มหล่อ ไม่แน่คุณอาจจะได้เจอแบบนี้ก็ได้
Love You Like Crazy เพลงเพราะๆ ที่ถ้าส่งให้คนที่เรารัก โลกนี้ก็สีชมพูกันทีเดียว