ขี้พุ่ง-ผู้ตัดสินเหยื่อของกันและกัน! โดย..เต็ก บางจาก
การถกเถียงเรื่อง พวกขี้พุ่ง ในสนามฟุตบอลเป็นปัญหาโลกแตก
แม้บนความเป็นจริงแล้วไม่มีใครอยากเห็นหรือให้มันเกิดขึ้นนักหรอกบนโลกสีเขียวสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่ทว่าบางคนก็บอกว่ามันเป็นเสน่ห์
ฝรั่งไม่เข้าใจเพราะพวกเขาคิดว่ามันคือการตบตาและสามารถพลิกเกมจากดำให้เป็นขาวหรือขาวให้เป็นดำได้ ฉะนั้นในความหมายของฝรั่งการชนะด้วยความ แฟร์ เป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับ
เพียงแต่นั่นก็เป็นความเห็นของคนที่พยายามทำตัวให้เป็นกลางก็เท่านั้นเพราะบนความเป็นจริงแล้วหากคนที่เป็นกลางเหล่านั้นเข้าไปเกี่ยวกับสถานการณ์ของทีมที่ตัวเองเชียร์และพวกเขาได้ประโยชน์
ร้อยทั้งร้อยก็คงแกล้งพยายามลืมๆ มันไป
ถามว่าเพราะอะไร ก็เพราะทีมของตัวเองได้เปรียบได้ประโยชน์นั่นงัย
นิสัยของมนุษย์เรารู้ว่าน้อยนักที่อยากจะเป็นผู้เสียผลประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ กีฬาหรือการเมืองหรือศาสนา
เหตุการณ์ล่าสุดที่แอนฟิลด์จากเคสของ ดาวิด เอ็นก๊อก ก็เช่นกัน ที่ผ่านมามันก็มีภาพแบบนี้ให้เห็นจนชินตา และสื่อผู้ดีก็มักรณรงค์มากมายโดยกำจัดพวกขี้พุ่งจากเกมฟุตบอลซะ
แต่ถามว่าทำได้หรือไม่?
ตั้งแต่จำความได้ดูฟุตบอลเป็นก็ไม่เห็นมันทำได้สักที
เพียงแต่พอเกิดเรื่องก็หยิบมาเป็นหัวข้อสนทนาทีหวังว่าบรรดานักเตะจะเกิดจิตสำนึกที่ดีขึ้นมา
กระนั้นถามต่อไปว่าแล้วตัวนักเตะเองรู้หรือไม่ว่าจิตสำนึกที่ดีในการทำให้เกมสะอาดเป็นแบบไหน
ผมว่าบางคนก็รู้แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้หรือไม่สถานการณ์ในเกมมันพาไปเพราะไม่มีใครอยากเป็นผู้แพ้งัยครับ
คนทุกคนไม่ต้องการเป็นผู้แพ้โดยเฉพาะถ้ามีเรื่องการแข่งขันเข้ามา นักเตะเองก็เช่นกันเขาไม่ได้แข่งขันเฉพาะในเกมแข่งขันเท่านั้นแต่ในระหว่างเกมเขาต้องแข่งขันกับเพื่อนร่วมทีมด้วยกันเอง เขาต้องแข่งขันกันเพื่อให้เข้าตาโค้ชเพราะมันหมายถึงการลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ และรายได้ที่จะเข้ามาถ้าคุณเป็นฮีโร่
ฉะนั้นถ้ามาบวกลบคูณหารดีดรางลูกคิดแล้วยอมโดนด่าระยะหนึ่งแต่ทำให้ทีมได้ผลประโยชน์ภาพรวมมันคุ้มกว่าเยอะ
ด้วยเหตุนี้พวกขี้พุ่งจึงมีอยู่เกลื่อนกลาด
เราเคยถกเถียงกันเยอะอย่างสมัยก่อนๆ ก็มี รุด ฟาน นิสเตลรอย เอย, แฮร์รี่ คีเวลล์ เอย หรือในอิตาลีอาจมีเจ้ากุ้งจอมพุ่ง ฟิลิปโป้ อินซากี้ ส่วนตอนนี้ทุกคนอาจนึกถึง ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา หรือเมื่อไม่นานมานี้กับคดีของ เอดูอาร์โด้ ดา ซิลวา ที่พุ่งในเกมคัดแชมเปี้ยนส์ ลีก กับเซลติก
บทสุดท้ายลูกพุ่งครั้งนั้นทำให้อาร์เซน่อลได้จุดโทษและได้เปรียบจนเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ตีตั๋วมาเล่นรอบสุดท้าย ส่วน ดูดู้ โดนลงโทษแบน
แล้วเป็นอย่างไรสุดท้ายเรื่องก็จบๆ กันไป
เรื่องแบบนี้ในมุมเชิ้ตดำก็มีบ่นกระปอดกระแปดออกมาเหมือนกัน
เทอร์เย่ ฮอร์เก้ ผู้ตัดสินชาวนอร์เวย์ยังพูดออกมาเลยว่ามันเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในเกมฟุตบอล และผู้ตัดสินก็คือเหยื่อของนักเตะ ด้วยเหตุว่าผู้ตัดสินมีเวลาเพียงแวบเดียวในการตัดสินใจแถมต้องพาตัวเองไปให้อยู่ในจุดที่มองเห็นเหตุการณ์ให้ดีด้วย
ถึงจะมีประสบการณ์มากแค่ไหนทว่าก็สามารถพลาดได้ ขนาดว่าผลการสำรวจพฤติกรรมของจอมพุ่งในอังกฤษที่มหาวิทยาลัย พลีมัธ ศึกษามาตลอดยังบอกว่าวิธีการสังเกตว่าคนเราจะพุ่งหรือไม่ธรรมชาติจะดูที่การที่แขนทั้งสองข้างลอยขึ้นเหนือศีรษะ แล้วเอาหน้าอกทิ้งตัวพร้อมกับกางขาตัวเองออก
เขาบอกว่านี่แหละคือธรรมชาติของคนที่จะพุ่งตบตา แต่ก็ไม่เห็นว่าผู้ตัดสินเอาไปใช้สังเกตแล้วจะตัดสินได้ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์
ก็การแข่งขันนะครับทุกคนต่างเป็นเหยื่อของกันและกันได้เสมอมันเป็นเรื่องธรรมดา
นักเตะเป็นเหยื่อของผู้ตัดสินที่เป่าผิดพลาดก็มี ผู้ตัดสินเป็นเหยื่อของนักเตะจอมตุกติกก็มี
ตราบใดที่ฟุตบอลเป็นเกมที่พยายามลดทอนเรื่องเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ความคลุมเครือในเกมและผลการแข่งขันก็ย่อมมีมากกว่ากีฬาชนิดอื่นๆ
ฉะนั้นในสายตาของฝรั่งเรื่องพุ่งอาจเป็นเรื่องใหญ่ แต่บ้านเราหรือแม้ผมเองอาจมองว่ามันเป็นเรื่องเล็กเพราะเราในฐานะคนดูบอลต้องทำใจ
อย่าลืมว่าพวกขี้พุ่งเองก็เสี่ยงเหมือนกันไม่ใช่ไม่เสี่ยง
หลายหนที่ตบตาไม่เนียนก็โดนไล่ออกจากสนาม มันเป็นวิถีทางของมันที่วางเอาไว้อยู่แล้ว
คนเราทุกคนอยากให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อยากให้ได้ดั่งใจ
ทว่าลืมนึกไปว่าไม่มีใครได้ดั่งใจไปซะหมด
ครั้งหนึ่งราฟาเคยด่ากราดพวกจอมพุ่งเหล่านี้ แต่วันนี้เขากลับปกป้อง เอ็นก๊อก ซะงั้น
ขนาดความเห็นของคนคนหนึ่งคนยังสองบรรทัดฐานในแต่ละสถานการณ์ได้
เป็นแบบนี้ พวกขี้พุ่ง ก็ยังอยู่ในสังคมฟุตบอล อยู่ดี
ฉะนั้นวิธีการแก้ไขนาทีนี้ที่ทำได้ก็แค่ กรรมการอย่าตาถั่วบ้าจี้ หรือไอ้คนเสียบก็มีสถิติยั้งคิดหน่อย ก็แล้วกันนะครับ
เต็ก บางจาก
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์
Love Attack เทศกาลความรักแบบนี้ บอกอ้อมๆให้เขารู้กัน
Chocolate Dreams สาวชั่งฝันและช็อคโกแลต กับหนุ่มหล่อ ไม่แน่คุณอาจจะได้เจอแบบนี้ก็ได้
Love You Like Crazy เพลงเพราะๆ ที่ถ้าส่งให้คนที่เรารัก โลกนี้ก็สีชมพูกันทีเดียว