บทพิสูจน์กึ๋น 4 กุนซือดัง
ในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา ทั้ง 4 สโมสร ก็มีการปรับปรุงทีม ขายนักเตะคนนั้น ซื้อนักเตะคนนี้ แต่มีอยู่ 1 ทีม ที่มีการเปลี่ยนแปลงทีมมากกว่าตัวผู้เล่น นั่นก็คือทีม เชลซี โดยทีม “สิงห์สำอาง” แห่งกรุงลอนดอน ได้แต่งตั้งให้ คาร์โล อันเชลอตติ กุนซือชาวอิตาเลียน เข้ามาคุมทีม แทนที่ กุส ฮิดดิงค์ ที่อำลาทีมไปตั้งแต่ช่วงจบฤดูกาลที่ ผ่านมา
ซึ่งทำให้ เชลซี เป็นทีมเดียวในลีกที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมในช่วงปิดฤดูกาล
อันเชลอตติ อาจจะเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ สำหรับศึกพรีเมียร์ชิพ แต่เขาไม่ใช่ชื่อใหม่ในวงการลูกหนัง อันเชลอตติ ซึ่งมีชื่อเล่นว่า “คาร์เล็ตโต” เป็นอดีตนักฟุตบอลชื่อดังของเอซี มิลาน ยุครุ่งเรือง ที่มี 3 ทหารเสือชาวดัตช์ รุด กุลลิต, แฟรงค์ ไรจ์การ์ด และ มาร์โก ฟาน บาสเทน นำทีมนั่นแหละ นอกจากนี้ อันเชลอตติ ยังเคยติดทีมชาติอิตาลี 26 หน
จากนั้น อันเชลอตติ เบนเข็มมาเป็นผู้จัดการทีม โดยเริ่มต้นกับทีมเล็ก ๆ อย่าง เรจจินา และปาร์มา ก่อนจะย้ายมาคุมทีมยูเวนตุส ต่อจากมาร์เชลโล ลิปปี 2 ฤดูกาล ในปี ค.ศ. 1999-2001 แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก อย่างไรก็ตาม เอซี มิลาน เห็นแววให้โอกาสคุมทีม และคาร์เล็ตโต ก็ไม่ทำให้ทีมผิดหวัง
ในช่วงที่อยู่กับมิลาน อันเชลอตติ พาทีม คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ถึง 2 สมัย ในฤดูกาล 2002-2003 (ชนะยูเวนตุส ในรอบชิงชนะเลิศ) และ ฤดูกาล 2006-2007 (ชนะลิเวอร์พูลในรอบชิงชนะเลิศ) ทำให้ อันเชลอตติ เป็นคนที่ 4 ในประวัติศาสตร์ ที่ได้แชมป์ถ้วยใบใหญ่สุดของยุโรปทั้งในฐานะนักเตะและผู้จัดการทีมต่อจาก มิเกล มูนอซ, โจวานนี ตราปัตโตนี และ โยอัน ครัฟฟ์ ก่อนที่ในภายหลังจะมี แฟรงค์ ไรจ์การ์ด และ เป็ป กวาดิโอลา มาเพิ่มในทำเนียบ
นอกจากนี้ เขายังพาทีมได้แชมป์ กัลโช เซเรียอา 1 สมัย ในฤดูกาล 2003-2004 และเป็นแชมป์โคปปา อิตาเลีย และแชมป์สโมสรโลกอย่างละสมัย อีกด้วย
อันเชลอตติ ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเทรนเนอร์ของทีมเอซี มิลาน หลังจบเกมที่ชนะ ฟิออเรน ตินา 2-0 เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ที่ผ่านมา ก่อนที่ในวันต่อมา จะมีข่าวยืนยันว่า “คาร์เล็ตโต” จะเข้ามาคุมทีมเชลซี ด้วยสัญญา 3 ปี โดยจะได้รับค่าจ้างทั้งหมด 9 ล้านปอนด์ ซึ่งทำให้ อันเชลอตติ เป็นกุนซือชาวอิตาเลียนคนที่ 3 ของ “สิงห์สำอาง” ต่อจาก จิอันลูกา วิอัลลี และ เคลาดิโอ รานิเอรี
และทำให้ อันเชลอตติ เป็นกุนซือคนที่ 5 ของทีม ในรอบระยะเวลาแค่ 21 เดือน สำหรับ จุดเด่นของ อันเชลอตติ อยู่ที่ ความเป็นกันเองกับผู้เล่นในทีม ไม่ว่าจะหน้าฉากหรือหลังฉาก อันเชลอตติ ไม่เคยถือตัวกับผู้เล่นในทีมเลย ดังจะเห็นได้จากนักเตะของเอซี มิลาน มักจะหยอกล้อเล่นกับ “คาร์เล็ตโต” อยู่เป็นประจำ หลังจากยิงประตูได้ หรือยามที่ทีมได้รับชัยชนะ จนดู ๆ ไปเหมือนเป็นเพื่อนหรือเป็นพี่-น้องกันมากกว่า ซึ่งจะแตกต่างจากกุนซือคนอื่น ที่มักจะวางตัวให้อยู่เหนือนักเตะในแบบเจ้านายกับลูกน้อง
ด้วยบุคลิกแบบนี้ ทำให้นักเตะหลายคน รู้สึกชื่นชอบการทำงานร่วมกับอันเชลอตติเป็นอย่างมาก จนมีข่าวออกมาตลอดว่าลูกทีมเก่าของอันเชลอตติ อยากจะ ย้ายตามเจ้านายมาค้าแข้งกับทีมเชลซีด้วย
แม้กระทั่ง แฟรงค์ แลมพาร์ด นักเตะขาใหญ่ในทีมเชลซี ก็รู้สึกยินดีกับที่ได้ อันเชลอตติ เข้ามาคุมทีม เนื่องจาก “แลมพ์” เชื่อว่า เทรนเนอร์ชาวอิตาเลียนผู้นี้จะสามารถพาทีมประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน “อัน เชลอตติ เป็นผู้จัดการทีมที่มีผลงานน่าประทับใจจากถ้วยรางวัลที่เขาเคยคว้าแชมป์มา ผมโชคดีที่เคยทำงานกับผู้จัดการทีมหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โฮเซ มูรินโญ และ ฮิดดิงค์ ผมเคยพูดคุยกับหลายคนที่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับเขา (อันเชล็อตติ) ทุกคนต่างยกย่องเขาอย่างมากทั้งในฐานะบุคคลและการเป็นผู้จัดการทีม ผมและผู้เล่นเชลซีรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากกับอนาคตที่รออยู่”
ภารกิจของอันเชลอตติ ก็คือการวัดฝีมือกับ 3 กุนซือดัง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อาร์เซน เวนเกอร์ ของอาร์เซนอล และ ราฟาเอล เบนิเตซ ของลิเวอร์พูล
เป็นงานที่กดดันมากทีเดียว อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงความกดดัน อาร์เซน เวนเกอร์ ของอาร์เซนอล ก็ถือได้ว่ากดดันไม่แพ้กัน
หลายปีก่อน เวนเกอร์ มีสถานภาพที่มั่นคงสุดขีดกับทีมอาร์เซนอล เพราะพาทีม “ไอ้ปืนใหญ่” คว้าแชมป์มาครองมากมาย เวนเกอร์ นำ อาร์เซนอล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัย, รองแชมป์ฟุตบอลลีก 5 สมัย และ แชมป์เอฟเอ คัพ อีก 4 สมัย นอกจากนี้ ยังพาอาร์เซนอล เข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นครั้งแรกของสโมสรด้วย แต่รอบชิงชนะเลิศ แพ้ บาร์เซโลนา หวุดหวิด ทั้ง ๆ ที่ขึ้นนำไปก่อน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลัง สถานภาพของเวน เกอร์ ไม่ได้มั่นคงเหมือนเดิมแล้ว นับตั้งแต่คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ หนสุดท้ายเมื่อปี ค.ศ. 2005 อาร์เซนอล ก็ไม่เคยได้แชมป์รายการใดอีกเลย
นั่นหมายความว่า อาร์เซนอล มือเปล่า ไม่ได้แชมป์รายการใดมาประดับสโมสร 4 ฤดูกาลติดต่อกันเข้าไปแล้ว จนแฟนบอลบางส่วนเริ่มเสื่อมศรัทธา เนื่องจากเห็นว่า เวนเกอร์มีนโยบายทำทีมที่ไว้วางใจผู้เล่นรุ่นเยาว์มากเกินไป ทำให้ทีมไม่มีศักยภาพมากพอที่จะสู้กับทีมอื่น ๆ ได้
ดังนั้น ในปีนี้ ถือเป็นปีที่เวนเกอร์ จะต้องเร่งทำผลงาน มิฉะนั้น อย่าว่าแต่ศรัทธาของแฟนบอลเลยที่เสียไป แม้แต่นักเตะดัง ๆ ของทีมก็อาจจะรั้งตัวให้อยู่กับทีมต่อไปไว้ไม่ได้
ขณะที่ ราฟาเอล เบนิเตซ นายใหญ่ของลิเวอร์พูล ก็ยังต้องเจอความกดดัน เหมือนเดิม เนื่องจากแฟนบอลลิเวอร์พูล โหยหาความสำเร็จในฟุตบอลลีกมาร่วม 20 ปีแล้ว
จากเดิม ที่ทีมลิเวอร์พูล คือสโมสรที่ได้แชมป์ลีก สูงสุดของอังกฤษมากที่สุด แบบทิ้งคู่แข่งหายห่วง มาปัจจุบัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำสถิติขึ้นมาเทียบเท่าได้แล้ว
และปีนี้ หากทีมใดใน 2 ทีมนี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก มาครองได้ ก็จะเป็นทีมที่ครองสถิติคว้าแชมป์ลีก สูงสุดมากที่สุด แต่เพียงผู้เดียว
อันที่จริง ถ้าพูดถึง ฝีมืออย่างเดียว ต้องถือว่า เบนิเตซ อยู่ในระดับท็อปเหมือนกัน กุนซือชาวกระทิงดุรายนี้เคยพาทีมบาเลนเซีย คว้าแชมป์ลาลีกา สเปน 2 สมัย และแชมป์ยูฟ่า คัพ 1 สมัย และพาทีมลิเวอร์พูล ซิวถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาล 2004-2005 และแชมป์เอฟเอ คัพ ปี ค.ศ. 2006
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียสำคัญของราฟา ก็คือความมั่นใจในตัวเองสูง อีโก้จัดนั่นแหละ
เบนิเตซ เป็นคนที่เชื่อมั่นในระบบการเล่นของตัวเองมาก จึงนิยมใช้ระบบหมุนเวียนนักเตะหรือโรเตชั่นมันเกือบทุกนัด จนมีคำแซวว่า “ทายหวยให้ถูก ยังง่ายกว่าทาย 11 ผู้เล่นตัวจริงที่เบนิเตซ จะส่งลงสนามเสียอีก”
ผลงานที่ผ่านมา พิสูจน์ ให้เห็นแล้วว่า ระบบ โรเตชั่น ของราฟา ไม่ได้ผลสำหรับการแข่งขันฟุตบอลลีก เนื่องจาก ระบบนี้ ทำให้ “หงส์แดง” มีฟอร์มการเล่นไม่สม่ำเสมอ บางนัดเล่นดี แต่พอถึงนัดต่อไป กลับทำแต้มตกหล่น เพราะเบนิเตซ ดันไปส่งตัวสำรองลงสนามซะงั้น
แถม เบนิเตซ ยังมีนิสัยดื้อด้าน ตะบี้ตะบัน ปั้นนักเตะบางคนอยู่นั่นแหละ ทั้ง ๆ ที่ผลงานก็ไม่ค่อยจะเข้าตา จนแฟนบอล “หงส์แดง” มีคำศัพท์เฉพาะว่า “ลูกรักราฟา” เอาไว้ใช้เรียกนักเตะพวกนี้โดยเฉพาะ
ไม่รู้ว่า ราฟา จะเลิกนิสัยเดิมได้หรือไม่ในฤดูกาลใหม่นี้
ส่วน เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณมากมาย ผลงานพาทีม “ปิศาจแดง” คว้าแชมป์มากมายเกิน 20 ถ้วย บ่งบอกในตัวเองดีอยู่แล้ว
สำหรับ ศึกพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ จะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 15 ส.ค. และจะไปสิ้นสุดในวันที่ 9 พ.ค. ปีหน้า ซึ่งตลอดระยะเวลาเกือบ 9 เดือนเต็ม 4 กุนซือดังที่ว่า จะต้องงัดมันสมองและฝีมือทั้งหมดออกมาใช้ เพื่อพาทีมของตนเอง บรรลุถึงเป้าหมาย
คือ ตำแหน่งแชมป์ นั่นเอง.
ข้อมูลจำเพาะของกุนซือทั้ง 4 คน
ราฟาเอล เบนิเตซ (ลิเวอร์พูล)
วัน/ เดือน/ ปี เกิด : 4 เมษายน ปี ค.ศ. 1960
สถานที่เกิด : เมืองมาดริด ประเทศสเปน
เข้ารับงานเมื่อ : ปี ค.ศ. 2004
สโมสรที่เคยคุมทีม : คาสติลลา(เยาวชน), รีล มาดริด (เยาวชน), รีล มาดริด (ชุด B), รีล บายาโดลิด, โอซาซูนา, เอ็กเตรมาดูรา, เตเนริเฟ และ บาเลนเซีย
ทีมที่เคยเล่นสมัยเป็นนักเตะ : คาสติลลา, ปาร์ลา, ลินาเรส
ความสำเร็จในการคุมทีมลิเวอร์พูล :แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2004-05, แชมป์เอฟเอ คัพ 2005-06, แชมป์คอมมูนิตี ชิลด์ 2006, แชมป์ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ 2005
..............................................................
อาร์เซน เวนเกอร์ (อาร์เซนอล)
วัน/ เดือน/ ปี เกิด : 22 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1949
สถานที่เกิด : เมืองสตาร์สบูร์ก ประเทศฝรั่งเศส
เข้ารับงานเมื่อ : ปี ค.ศ. 1996
สโมสรที่เคยคุมทีม : น็องซี, โมนาโก, นาโงยา แกรมปัส เอต
ทีมที่เคยเล่นสมัยเป็นนักเตะ : มุลเฮาส์, เอเอสพีวี สตาร์สบูร์ก, สตาร์สบูร์ก
ความสำเร็จในการคุมทีมอาร์เซนอล : แชมป์พรีเมียร์ลีก 1997-98, 2001-02, 2003-04, แชมป์เอฟเอ คัพ 1997-98, 2001-02, 2002-03, 2004-05, แชมป์ คอมมูนิตี ชิลด์ ปี 1998, 1999, 2002, 2004
...............................................................
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (แมนฯ ยูไนเต็ด)
วัน/ เดือน/ ปี เกิด : 31 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1941
สถานที่เกิด : เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์
เข้ารับงานเมื่อ : ปี ค.ศ. 1986
สโมสรที่เคยคุมทีม : อีสต์ สเตอร์ลิงเชียร์, เซนต์ เมียร์เรน, อเบอร์ดีน, ทีมชาติสกอตแลนด์
ทีมที่เคยเล่นสมัยเป็นนักเตะ : ควีนส์ ปาร์ค, เซนต์ จอห์นสโตน, ดันเฟิร์มลิน, แรนเจอร์, ฟัลเคิร์ก, อายร์ ยูไนเต็ด
ความสำเร็จในการคุมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1998-99, 2007-08, แชมป์พรีเมียร์ลีก 1992-93, 1993-94, 1995-96, 1996-97, 1998-99, 1999-2000, 2000-01, 2002-03, 2006-07, 2007-08, 2008-09, แชมป์ เอฟเอ คัพ 1989-90, 1993-94, 1995-96, 1998-99, 2003-04, แชมป์ ลีก คัพ 1991-92, 2005-06, 2008-09, แชมป์ยูฟ่า คัพ วิน เนอร์ส คัพ 1990-91, แชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 1991, แชมป์ คอมมูนิตี ชิลด์ ปี ค.ศ. 1990, 1993, 1994, 1996, 1997, 2003, 2007, 2008, แชมป์ฟุตบอลสโมสรโลก 2008
...............................................................
คาร์โล อันเชล็อตติ (เชลซี)
วัน/ เดือน/ ปี เกิด : 10 มิถุนายน ปี ค.ศ. 1959
สถานที่เกิด : เมืองเรจจิโอโล ประเทศอิตาลี
เข้ารับงานเมื่อ : ปี ค.ศ. 2009
สโมสรที่เคยคุมทีม : เรจจินา, ปาร์มา, ยูเวนตุส, เอซี มิลาน
ทีมที่เคยเล่นสมัยเป็นนักเตะ : ปาร์มา, โรมา, เอซี มิลาน
ความสำเร็จในการคุมทีมเชลซี : ยังไม่มี
โดย เดลินิวส์
อาร์เซน เวนเกอร์ (อาร์เซนอล)
วัน/ เดือน/ ปี เกิด : 22 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1949
สถานที่เกิด : เมืองสตาร์สบูร์ก ประเทศฝรั่งเศส
เข้ารับงานเมื่อ : ปี ค.ศ. 1996
สโมสรที่เคยคุมทีม : น็องซี, โมนาโก, นาโงยา แกรมปัส เอต
ทีมที่เคยเล่นสมัยเป็นนักเตะ : มุลเฮาส์, เอเอสพีวี สตาร์สบูร์ก, สตาร์สบูร์ก
ความสำเร็จในการคุมทีมอาร์เซนอล : แชมป์พรีเมียร์ลีก 1997-98, 2001-02, 2003-04, แชมป์เอฟเอ คัพ 1997-98, 2001-02, 2002-03, 2004-05, แชมป์ คอมมูนิตี ชิลด์ ปี 1998, 1999, 2002, 2004
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (แมนฯ ยูไนเต็ด)
วัน/ เดือน/ ปี เกิด : 31 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1941
สถานที่เกิด : เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์
เข้ารับงานเมื่อ : ปี ค.ศ. 1986
สโมสรที่เคยคุมทีม : อีสต์ สเตอร์ลิงเชียร์, เซนต์ เมียร์เรน, อเบอร์ดีน, ทีมชาติสกอตแลนด์
ทีมที่เคยเล่นสมัยเป็นนักเตะ : ควีนส์ ปาร์ค, เซนต์ จอห์นสโตน, ดันเฟิร์มลิน, แรนเจอร์, ฟัลเคิร์ก, อายร์ ยูไนเต็ด
ความสำเร็จในการคุมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1998-99, 2007-08, แชมป์พรีเมียร์ลีก 1992-93, 1993-94, 1995-96, 1996-97, 1998-99, 1999-2000, 2000-01, 2002-03, 2006-07, 2007-08, 2008-09, แชมป์ เอฟเอ คัพ 1989-90, 1993-94, 1995-96, 1998-99, 2003-04, แชมป์ ลีก คัพ 1991-92, 2005-06, 2008-09, แชมป์ยูฟ่า คัพ วิน เนอร์ส คัพ 1990-91, แชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 1991, แชมป์ คอมมูนิตี ชิลด์ ปี ค.ศ. 1990, 1993, 1994, 1996, 1997, 2003, 2007, 2008, แชมป์ฟุตบอลสโมสรโลก 2008
...............................................................
คาร์โล อันเชล็อตติ (เชลซี)
วัน/ เดือน/ ปี เกิด : 10 มิถุนายน ปี ค.ศ. 1959
สถานที่เกิด : เมืองเรจจิโอโล ประเทศอิตาลี
เข้ารับงานเมื่อ : ปี ค.ศ. 2009
สโมสรที่เคยคุมทีม : เรจจินา, ปาร์มา, ยูเวนตุส, เอซี มิลาน
ทีมที่เคยเล่นสมัยเป็นนักเตะ : ปาร์มา, โรมา, เอซี มิลาน
ความสำเร็จในการคุมทีมเชลซี : ยังไม่มี
โดย เดลินิวส์