เห็นโบรชัวร์ของไมเคิ่ล โอเว่นแล้วก็สลดใจเสียเหลือเกิน..
ชื่อเสียงเงินทองทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นภาพลวงตา มันอาจดูจับต้องได้แต่สุดท้ายแล้วเรามิอาจได้มันมาครอบครองอย่างแท้จริง..
แม้กระทั่งร่างกาย...
กรอเทปกลับไปเมื่อ 11 ปีที่แล้ว "เจ้าหนูมหัศจรรย์" คือพลุที่ถูกระเบิดขึ้นสูงที่สุดและสวยงามที่สุดในฟร้องซ์'98...
เขาคือกองหน้าที่ทุกคนถวิลหาและใฝ่ฝัน.. ความเร็ว , เทคนิค , สัญชาตญาณและความเฉียบคม โอเว่นมีทั้ง 4 อย่างครบในขณะที่อยู่ในช่วงดาวรุ่งพุ่งแรง..
ทุกสิ่งไหลมาเทมา.. ค่าเหนื่อยที่ทบตัวเองสูงขึ้น , ค่าโฆษณา , ค่าลิขสิทธิ์ หรือรายรับต่างๆที่เป็นผลพลอยได้จากเกมฟุตบอล..
โอเว่นตอบแทนลิเวอร์พูลทีมที่ชุบเลี้ยงเขาด้วย 118 ประตู ก่อนตัดสินใจหักเหชีวิตตัวเองอย่างคิดสั้นเมื่อปี 2004...
ด้วยความเย้ายวนใจของ "เสื้อสีขาว" มันเอาชนะเสียงเรียกร้องร่ำไห้แจกแฟนบอลที่ทัดทานเขาไม่ให้จากไป..
แต่สุดท้ายไร้ผล.. โอเว่นทิ้งเครื่องจักรสีแดงอันเป็นที่รัก และไปดูดดื่มกับแดนศิวิไลซ์แห่งกรุงมาดริดโดยทิ้งความกระอักกระอ่วนใจให้กับแฟน "หงส์แดง" และบอร์ดบริหาร..
จุดจบของโอเว่นคือจุดจบของเชราร์ อุลลิเย่ร์เช่นกัน.. การผลัดแผ่นดินครั้งใหม่เกิดขึ้นทันทีเมื่อธงชาติฝรั่งเศสถูกแทนที่ด้วยผืนผ้าสีส้มแดงแห่งกระทิงดุ..
ราฟาเอล เบนิเตซจากบาเลนเซียสืบเท้าก้าวเข้ามา.. เขาเปลี่ยนแปลงปรับปรุงทีมให้เป็นไปตามแนวทางของเขาเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าแฟนๆจะยังอยู่ในช่วง "อาฟเตอร์ช็อก" จากการเสียกองหน้าสุดที่รักไป..
แต่ราฟาลบภาพเลือนๆของโอเว่นได้สนิทด้วยถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกที่อิสตันบูล มันคือความภาคภูมิใจของเหล่าเดอะ ค็อป ที่ได้ขึ้นไปฉลองที่ยอดเขาแห่งความสำเร็จอีกครั้ง..
แต่เลื่อนแผนที่ไปยังสเปน.. เสียงสะอื้นของไมเคิ่ล โอเว่นกลับดังขึ้นเป็นพักๆ.. 8 เดือนที่มาดริดคือฝันร้าย.. และนั่นทำให้เขาต้องขยับขยายหาที่ทางใหม่เพื่อตั้งหลัก..
และที่นั่นคือนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด !!
16 ล้านปอนด์คือมูลค่าที่น่าภาคภูมิใจ มันแพงเป็น 2 เท่าที่เรอัล มาดริดซื้อเขามาจากลิเวอร์พูลเสียอีก แต่เสียใจด้วย "แม็กพายส์" เพราะคุณได้จ่ายเงินซื้อสิ่งที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาด้วย..
ในวัย 26 มันอาจดูเร็วเกินไปที่นักเตะจะเริ่มมีอาการบาดเจ็บ.. หากรักษาให้หายเร็วได้ก็คงดี.. แต่โชคร้ายที่คำว่า "เรื้อรัง" ซึ่งเป็นฝันร้ายของนักฟุตบอลดันมาเกิดขึ้นกับยอดนักเตะอย่างโอเว่นซะ..
มองให้ลึกลงไปมันไม่ใช่แค่ 16 ล้านปอนด์เท่านั้น แต่มันบวกไปอีกไม่รู้กี่ล้านสำหรับการจ่ายค่าเหนื่อยที่แพงหูฉี่ และการจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับดาวเตะที่กำลังหมดสภาพ..
เหมือนนักร้องลูกทุ่งที่หมดยุค.. เพราะพ่อยกแม่ยกในเมอร์ซี่ย์ไซด์ต่างประคมประหงมศิลปินดวงใหม่ที่กำลังเจิดจ้าอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน..
เฟร์นานโด ตอร์เรส..
เชื่อว่าคงมีหลายคนที่แอบคิดว่า ถ้าโอเว่นยังคงสวมอาภรณ์แห่งแอนฟิลด์แล้ว.. ทุกอย่างจะเป็นเช่นไร..
ไม่รู้เหมือนกันครับ.. แต่ผมคิดว่าโอเว่นได้ทิ้งตำนานและความมั่นใจในความเป็นสุดยอดกองหน้า ไว้ที่สนามแห่งนี้.. เขาไม่ได้นำมันออกไปด้วยอีกต่อไป ในช่วงเวลาที่อยู่กับเรอัล มาดริด และนิวคาสเซิ่ล...
เขาเหมือนแสงจากหิ่งห้อยที่ค่อยๆดับลงไปตามกาลเวลา.. เป็นความสว่างไสวที่ไม่อาจย้อนกลับคืนมาได้อีก..
4 ปีที่เซนต์ เจมส์ พาร์ค ชีวิตของโอเว่นมีแต่ทรุดไม่มีทรง.. อาการบาดเจ็บลักพาตัวเขาออกไปจากสนามเป็นครั้งคราว ที่ร้ายสุดคือมันค่อยๆเรื้อรังและบ่อยขึ้นเรื่อยๆ..
จากความหวังครั้งใหม่ของซูเปอร์สตาร์.. เขากลายเป็นความหวังที่เหลือแต่ชื่อ.. เป็นความหวังที่ดูมืดมน.. เขาไม่สามารถช่วยอะไรทีมได้อีกแม้กระทั่งลมหายใจสุดท้ายในชีวิตของต้นสังกัดในพรีเมียร์ลีก..
น่าหดหู่ชนิดที่กุนซือมือใหม่อย่างอลัน เชียเรอร์ยังมองออก.. ว่าการส่งอดีตคู่หัวหอกในทีมชาติอังกฤษลงสนาม.. ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทีม...
เหลือเชื่อ.. ชีวิตคนเราเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ภายในช่วงเวลาแค่ 11 ปี.. จากกองหน้าที่ทุกทีมฝันจะได้ไปครอบครอง.. บัดนี้แม้แต่ทีมเล็กๆอย่างวีแกนก็ยังสะบัดหน้าหนี...
มองไปยังโบรชัวร์อันนั้นอีกครั้ง...
ภาพของโอเว่นเปลี่ยนไปจากเดิม.. แววตาอันมุ่งมั่นเมื่อยามลงสนาม ตอนนี้แลดูเศร้าสร้อย , สิ้นหวัง อย่างไรก็ตามมันคือชีวิตที่จะต้องเชิดหน้าสู้และเดินก้าวต่อ..
บางครั้งถ้าคนเราอยู่ตรงจุดต่ำสุดของชีวิต.. มันก็ทำให้เกิดแรงผลักดันลึกๆในใจ.. ดันตัวเองให้ขึ้นสูงที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่หวนกลับไปแตะตรงจุดนั้นอีก...
สำหรับโอเว่น.. ก็เช่นกัน..
รสชาติของความเจ็บช้ำเมื่อตกจากฟ้าลงสู่พื้นดิน.. มันสะท้อนคุณค่าชีวิตของคน.. คนทุกคนก่อนจะวิ่งเข้าเส้นชัยก็ย่อมต้องเคยล้มทุกครั้ง...
โบรชัวร์ปึกนั้นแม้มันจะเป็นแค่แผ่นกระดาษดูไร้ค่าน่าขัน.. แต่สำหรับโอเว่นแล้วมันคือสิ่งที่มีค่าที่เขาจะประกาศให้ทุกคนรู้ว่า "เขาพร้อมสู้ต่อ"...
ตำนานย่อมเป็นตำนานวันยังค่ำ...
เลือดนักสู้ในกายยังมีอยู่เต็มเปี่ยมอยู่แล้ว.. ขอแค่เพียงนำมันกลับมาใช้เท่านั้น.. "ความมั่นใจ" นั่นล่ะครับสำคัญที่สุด...
เอากลับมาใช้ให้ได้เหมือนกับที่ลากเลื้อยครึ่งสนามไปยิงผ่านคาร์ลอส โรอา ในเกมกับอาร์เจนตินาเกมนั้นนั่นล่ะ..
นั่นคือจุด "สูงสุด" ของเขา.. แต่รู้มั้ยว่าจุด "สูงสุด" กับ "ต่ำสุด" น่ะ..
มันต่างกันเพียงแค่พลิกฝ่าเท้าเท่านั้นเอง..
พลิกมันกลับมา.. ไมเคิ่ล โอเว่น และคุณก็จะรู้.. ว่าเลือดเพชฌฆาตของคุณ.. มันยังไม่เคยหายไปไหนเลย..
เจี๊ยบ เคเอฟซี
ปล.ขอบคุณภาพข่าวจากพี่เบน ฟรีคิกครับ
http://www.lentee.com/soccer/viewtopic.php?t=164641
จากสูงสุด.. สู่ต่ำสุด...นี่แหละสัจธรรมชีวิต !!! โอเว่น
หน้าแรกTeeNee ที่นี่กีฬา พูดคุยเรื่องฟุตบอลและกีฬาต่าง ๆ sport จากสูงสุด.. สู่ต่ำสุด...นี่แหละสัจธรรมชีวิต !!! โอเว่น
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!