เมื่อแมนฯยูสู้ไม่ได้

แมนฯยูไนเต็ด ถูกกระชากลงมาเผชิญความจริงหลังจากแพ้ บาร์เซโลน่า ไม่สามารถป้องกันแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกได้อย่างที่หวัง

จากที่ถูกมองว่าเหนือกว่าก่อนแข่ง แมนฯยูกลับพบว่าตัวเองก็เป็นทีมที่มีเลือดมีเนื้อและแพ้เป็นเมื่อเจอคู่แข่งในฟอร์มสุดยอด แถมยังแพ้แบบต้องยอมรับว่าสู้ไม่ได้ทุกประตู

ระดับแมนฯยูแพ้อย่างนี้ในรอบชิงแชมเปี้ยนส์ลีกย่อมเจ็บปวดแน่นอน

ทีมของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เล่นดีแค่ 8 นาทีแรก พอพลาดเสียประตูในนาทีที่ 10 เกมก็เปลี่ยนและกลับมาไม่ได้อีกเลย

ท่านเซอร์บอกว่าปีศาจแดงไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเสียประตูเร็วก็เลยช็อค ทำอะไรไม่ถูกกลายเป็นเล่นไม่ดีไปจนจบ แต่ผมว่าไอ้ที่แมนฯยูเล่นไม่ดีเป็นเพราะโดนบาร์ซ่ากดดัน และบีบให้เป็นมากกว่า

ประตูนำของ ซามูแอล เอโต้ ทำให้แชมป์สเปนเรียกความเชื่อมั่นกลับมา ทุกคนเล่นได้ตามแผน เล่นได้อย่างใจ ต่อบอลกันไหลลื่น สวยงาม ทั้งแม่น ทั้งเร็ว โชะ โชะ

บาร์เซโลน่าเร็วและคมจนแมนฯยูกลายเป็นทีมที่ช้าไปอย่างไม่น่าเชื่อ

อีกจุดที่ร้ายกาจคือ การเล่นตอนไม่มีบอล สังเกตการเพรสซิ่ง บีบพื้นที่ของบาร์ซ่าไหมครับ พวกนี้บีบอย่างฉลาด จี้เข้ามาเป็นกลุ่ม เผลอแป๊บเดียวก็โดนต้อนเข้ามุม ไม่มีทางออก ไม่มีทางไป สุดท้ายก็คายบอลทิ้งง่ายๆ

ภาพมันเหมือนแมนฯยูเล่นไม่ดี คุมเกมไม่ได้ แต่ที่จริงคือ โดนบาร์เซโลน่าจู่โจมจนเสียจังหวะ ตั้งเกมกันแทบไม่ขึ้น

แผงมิดฟิลด์บาร์ซ่าที่มี เซร์คิโอ้ บุสเกตส์, ชาบี้, อิเนียสต้า, เมสซี่ ทำงานได้อย่างวิเศษ ทุกคนต่างมีบทบาท ไม่ใช่เด่นแค่ไอ้หนูเมสซี่คนเดียวซะเมื่อไหร่

ชาบี้จ่ายบอลแม่นสุดสุด แต่ผมชอบอันเดรส อิเนียสต้า ซึ่งเล่นเกมบุก (โคตร) น่ากลัว ออกบอลคม เลี้ยงลุยไปเองก็ลื่นเป็นปลาไหล เผลอเมื่อไหร่ก็ยิงยัดไส้ได้ทันที

กองกลางบาร์เซโลน่าคือ หัวใจของทีม นอกจากสร้างเกมบุกเหมือนเครื่องจักรยังช่วยปิดจุดอ่อนในเกมรับแบบสุดเนียน

ประเด็นที่มีคนยกให้แมนฯยูไนเต็ดเหนือกว่าเพราะไม่เชื่อมือกองหลังบาร์ซ่า ยังเป็นเรื่องมีน้ำหนัก มีเหตุผลนะครับ แต่ที่แพ้ก็เนื่องจากกดดันใส่เกมรับบาร์เซโลน่าไม่ได้ หรือได้ก็แค่ 8 นาทีแรกนั่นแหละ ที่เหลือโดนพวกมิดฟิลด์ช่วยกรองให้ ผ่อนหนักผ่อนเบาให้เกือบหมด

ปีศาจแดงแพ้อย่างราบคาบ แพ้แบบไม่มีหือ แต่หากมองในแง่บวก เกมนี้ก็ช่วยสะท้อนให้เห็นปัญหาที่ต้องเอากลับมาแก้ไขได้ชัดเจน

กองกลางแมนฯยูยังช้าเกินไป โดนเร่งเยอะๆ แล้ว ตัวเก๋าๆ จะเล่นไม่ออก ตัวสดๆ ยิ่งออกทะเล ส่วนแนวรุก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็เหมาะจะเป็นตัวริมเส้นมากกว่ากองหน้าตัวกลาง

ในวงการฟุตบอลไม่มีใครเพอร์เฟ็คท์ แมนฯยูอาจไร้เทียมทานในอังกฤษ แต่ระดับสุดยอดของยุโรปก็ยังต้องปรับโน่นปรับนี่กันอยู่

เกมเอฟเอคัพ นัดชิงเสาร์นี้คู่ เชลซี-เอฟเวอร์ตัน ก็เหมือนกัน มองกว้างๆ แทบทุกอย่างอยู่ในมือเชลซี ตัวเหนือกว่า บรรยากาศก็เป็นใจให้อำลากุนซือ กุส ฮิดดิ้งก์ ด้วยแชมป์ส่งท้าย

แต่เจอกันมา 2 นัดในลีกฤดูกาลนี้ เสมอ 0-0 ทั้ง 2 เกม แสดงว่าท็อฟฟี่เมนรู้วิธีเล่นกับเชลซี แถมความเก๋ายังใกล้เคียงกัน แท็คติคก็สู้ทันได้สบายๆ

อะไรที่ว่าแน่จึงอาจไม่เป็นไปอย่างที่คิดได้เหมือนกัน


โปรแกรมแข่งเอฟ เอ คัพ อังกฤษ นัดชิงชนะเลิศ

วันเสาร์ที่ 30 พ.ค. เวลา 21.00 น. เชลซี-เอฟเวอร์ตัน

โปรแกรมถ่ายทอดสดทางทรูวิชั่นส์+ฟรีทีวี

คืนวันเสาร์ที่ 30 พ.ค. เวลา 21.00 น. เชลซี-เอฟเวอร์ตัน(ทรูสปอร์ต 1 ช่อง 59, ฟรีทีวีช่อง 7) เวลา 02.00 น. รีล มายอร์ก้า-บียาร์รีล(ทรูสปอร์ต 1 ช่อง 59), คอรุนญ่า-บาร์เซโลน่า(ทรูสปอร์ต 3 ช่อง 61)

คืนวันอาทิตย์ที่ 31 พ.ค. เวลา 20.00 น. โรม่า-โตริโน่(ทรูสปอร์ต 1 ช่อง 59), โบโลญญ่า-คาตาเนีย(ทรูสปอร์ต 3 ช่อง 61), ฟิออเรนติน่า-เอซี มิลาน(ทรูสปอร์ต 5 ช่อง 63) เวลา 00.00 น. โอซาซูน่า-รีล มาดริด(ทรูสปอร์ต 1 ช่อง 59), สปอร์ติ้ง กิฆอน-อูเอลบา(ทรูสปอร์ต 3 ช่อง 61)

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์