สตีเว่น เจอร์ราร์ด&อันเดรีย ปิร์โล่
สตีเว่น เจอร์ราร์ด
เจอร์ราร์ด เป็นคนเมอร์ซี่ย์ไซด์แท้ๆ เกิดและเติบโตในย่านฮายตัน เมืองลิเวอร์พูล ทำให้มีสายเลือดของความเป็นสเกาเซอร์อยู่เต็มเปี่ยม และด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้เขาซึ่งเติบโตในครอบครัวของเดอะ ค็อป เลือกที่จะผูกพันกับลิเวอร์พูล สโมสรอันดับหนึ่งของเมืองมากกว่าจะเป็นเอฟเวอร์ตันมีเรื่องเล่ากันว่าในวัยเด็กสตีเว่น มีโอกาสที่จะได้สวมชุดของทีม ปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่แล้ว แต่กลับปฏิเสธไป แถมยังเอาเรื่องนี้ไปโทรกดดันให้แมวมองของลิเวอร์พูล รีบยื่นสัญญานักเตะฝึกหัดมาให้อีกเพราะอยากจะอยู่แอนฟิลด์ มากกว่า และนี่เองที่ทำให้ในเวลาต่อมา แม้เจอร์ราร์ด จะโดนทีมอื่นให้ความสนใจและเคยเกือบเผลอใจมาแล้วถึง 2 ครั้งซ้อนๆ กับเชลซี แต่สุดท้ายหัวใจก็ยังคงบอกให้เขาอยู่ที่แอนฟิลด์ ต่อไปเสมอ โชคดีของลิเวอร์พูล ด้วยที่ไม่พลาดในการเซ็นสัญญาหนึ่งในกองกลางดาวรุ่งพรสวรรค์ที่เก่งที่สุดคนหนึ่ง และในเวลาเพียงไม่กี่ปีหลังจากนั้นชื่อของสตีเว่น เจอร์ราร์ด ก็กลายเป็นชื่อที่แฟนบอลเดอะค็อป ตะโกนร้องเรียกมากที่สุด เจอร์ราร์ด ได้รับโอกาสในการลงสนามจากการเปิดทางของเชราร์ อุลลิเยร์ อดีตผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ที่มอบเสื้อสีแดงสดให้ในปี 1998 และยังเป็นผู้ขัดเกลาสอนสั่งวิชาให้ในช่วงแรก โดยจับให้เล่นในหลากหลายตำแหน่งไม่ว่าจะเป็นกองกลาง ปีก หรือแบ็ก ซึ่งทำให้เจอร์ราร์ด มีความสามารถในการเล่นที่หลากหลายทั้งรับและรุก และกลายเป็นข้อที่โดดเด่นที่สุดในตัวไปโดยปริยายหลังจากที่เริ่มได้รับโอกาส โดยเฉพาะในช่วงที่กัปตันในยุคนั้นอย่างเจมี่ เร้ดแนปป์ ได้รับบาดเจ็บเรื้อรัง ทำให้พื้นที่กลางสนามตกเป็นของเจอร์ราร์ด ที่ได้พี่ใหญ่อย่างดีทมาร์ ฮามันน์ คอยประคับประคองให้ และค่อยๆแทรกซึมเข้ามาเป็นผู้เล่นตัวจริง แต่กระนั้นเจอร์ราร์ด เองก็เคยประสบปัญหากับอาการบาดเจ็บเรื้อรังที่เกิดจากการที่ร่างกายยังเติบโตไม่เต็มที่ แต่หลังจากที่ได้รับการรักษาที่ฝรั่งเศส ซึ่งอุลลิเยร์ เป็นคนส่งไปด้วยตัวเอง เขาก็กลับมาเป็นคนใหม่ที่แกร่งกว่าเก่าและไม่เคยต้องบาดเจ็บเรื้อรังแบบนั้นอีกเลย เจอร์ราร์ด พบปีแห่งความสำเร็จที่สุดในชีวิตครั้งแรกด้วยการคว้า 3 แชมป์ในฤดูกาลเดียวในปี 2001 โดยได้ทั้งลีก คัพ ,เอฟเอ คัพ และยูฟ่า คัพ ก่อนที่จะได้รับเกียรติสูงสุดที่ใฝ่ฝันเมื่ออุลลิเยร์ ริบปลอกแขนกัปตันทีมจากซามี่ ฮูเปีย มาให้เป็นสมบัติของเจอร์ราร์ด ที่เริ่มพิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่าเป็นผู้เล่นที่ทรงอิทธิพลที่สุดต่อทีม แต่ด้วยความที่เก่งเกินไปทำให้กลายเป็นว่าเจอร์ราร์ด ต้องแบกรับลิเวอร์พูลเอาไว้คนเดียว และหงส์แดงก็กลายเป็นนกหลงทางที่ไม่รู้จะบินไปทางไหน เจอร์ราร์ด เริ่มสับสนกับอนาคตของตัวเองและเกือบที่จะตัดสินใจย้ายไปเชลซี ในช่วงฟุตบอลยูโร 2004 หลังโดนโชเซ่ มูรินโญ่ บุกไปทาบทามถึงห้องพัก กระนั้นเมื่อได้คุยเปิดอกกับราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการชาวสเปน ที่เข้ามาแทนที่ของอุลลิเยร์ ที่เจอร์ราร์ด รักเหมือนพ่อคนที่สอง กัปตันหงส์ก็ตัดสินใจที่จะอยู่กับทีมต่อไป ซึ่งแม้ว่าในฤดูกาลนั้นลิเวอร์พูล จะกระท่อนกระแท่นเต็มทน แต่ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขากลับคว้าแชมป์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ สมัยที่ 5 ของสโมสร กับเกมนัดชิงชนะเลิศที่มหัศจรรย์ที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยการไล่ตามหลังยอดทีมอย่างเอซี มิลาน 0-3 มาเสมอกันที่ 3-3 ก่อนจะชนะในการดวลจุดโทษ และที่สำคัญที่สุดคือแชมป์นี้พูดได้เต็มปากว่ามาจากน้ำพักน้ำแรงของเจอร์ราร์ด กว่าครึ่ง โดยเฉพาะประตูมหัศจรรย์ในเกมรอบแบ่งกลุ่มกับโอลิมเปียกอส ที่ช่วยให้ลิเวอร์พูล ได้เข้ามาถึงรอบน็อคเอาต์ได้ และหลังจากพาโทรฟี่ยูโรเปี้ยน คัพ กลับมาจากอิสตันบูล เป็นสมบัติของแอนฟิลด์ เจอร์ราร์ด ก็ได้รับรางวัลเกียรติยศส่วนตัวชิ้นแรกคือรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และต่อมาได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ หรือสมาคมนักฟุตบอลอาชีพที่เพื่อนนักเตะลงคะแนนให้ แต่เจอร์ราร์ด ก็เกือบที่จะไปจากลิเวอร์พูลเหมือนกันหลังได้แชมป์ยุโรป ด้วยความไม่เข้าใจกับทางสโมสรที่ไม่ยอมยื่นสัญญาใหม่ให้ และประกาศที่จะย้ายทีมไปเชลซี แบบช็อกแฟนๆ แต่หลังจากนั้นแค่ไม่ถึง 24 ชั่วโมง เจอร์ราร์ด ก็ทำเอาแฟนๆช็อกอีกครั้งแต่เป็นการช็อกด้วยความยินดีเมื่อเขาเปลี่ยนใจขอต่อสัญญากับทีมออกไปอีก 4 ปีโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ และยืนยันว่ารักลิเวอร์พูลทีมเดียว เจอร์ราร์ด ยังคงเป็นหนึ่งในนักเตะสำคัญที่สุดของลิเวอร์พูล ใน 2 ฤดูกาลหลัง และสร้างตำนานเฉพาะตัวอีกครั้งในการทำประตูมหัศจรรย์ช่วยตีเสมอเวสต์แฮม ในเกมนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ในวินาทีสุดท้ายของเกมทั้งที่เป็นตะคริวก่อนหน้านั้น ก่อนที่จะได้แชมป์จากการดวลจุดโทษอีกครั้ง อย่างไรก็ดี สำหรับเส้นทางทีมชาติดูเหมือนสตีเว่น คนนี้จะยังไม่สามารถระเบิดผลงานมหัศจรรย์ได้เหมือนในลิเวอร์พูล เนื่องจากยังไม่มีโค้ชคนใดที่ใช้งานได้อย่างเหมาะสม ทำให้ต้องผิดหวังในยูโร 2004 และฟุตบอลโลก 2006 นอกจากนี้ยังเคยพลาดรายการสำคัญอย่างฟุตบอลโลก 2002 เพราะเกิดบาดเจ็บรุนแรงก่อน แต่แฟนบอลชาวอังกฤษ ทุกคนก็รอคอยที่จะได้เห็นยอดนักเตะอย่างเจอร์ราร์ด ระเบิดเพลงแข้งระดับสุดยอดพา สิงโตคำราม คว้าแชมป์รายการระดับชาติมาให้ได้เสีย เหมือนที่เขาได้พิสูจน์ถึงพรสวรรค์ที่ยากหยั่งถึงมาแล้วในสีเสื้อลิเวอร์พูล
อันเดรีย ปิร์โล่
ด้วยความที่เกิดและเติบโตขึ้นที่เมืองเบรชชา ทำให้ ปิร์โล่ เริ่มต้นการค้าแข้งกับสโมสรเบรชชา ตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะเยาวชน ก่อนจะได้เลื่อนชั้นขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ระหว่างปี 1994-98 ก่อนที่ฟอร์มการเล่นของเขาจะไปเตะตาแมวมองของ อินเตอร์ มิลาน ยักษ์ใหญ่ของกัลโช่ เซเรีย อา จนได้เซ็นสัญญากับทีม งูใหญ่ ในปี 1998 อย่างไรก็ตาม ปิร์โล่ ไม่สามารถแจ้งเกิดกับอินเตอร์ ได้ จึงทำให้เขาต้องถูกปล่อยตัวไปให้ เรจจิน่า และ เบรชชา อดีตต้นสังกัดเก่า ยืมตัว หลังจากนั้น ปิร์โล่ ก็ย้ายไปร่วมทีมเอซี มิลาน คู่ปรับของทีม งูใหญ่ ในปี 2001 ซึ่งใช้เวลาในการปรับตัวร่วมกับทีมใหม่ได้เพียงไม่นาน เขาก็ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักได้อย่างรวดเร็ว ตลอดระยะเวลาที่อยู่กับ รอสโซเนรี่ ปิร์โล่ ประสบความสำเร็จมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา และแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีก 2 สมัย นอกจากนั้น ยังได้แชมป์โคปปา อิตาเลีย และ แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ อีก 2 สมัย ในปี 2003 และ 2007 ด้วย แรกเริ่มเดิมที ปิร์โล่ เริ่มต้นด้วยการเป็นมิดฟิลด์ตัวรับภายใต้การคุมทีมของโค้ชคาร์โล อันเชล็อตติ ก่อนที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นเพลย์เมกเกอร์ของ ปีศาจแดง-ดำ ร่วมกับ กาก้า ในที่สุด โดย ในฤดูกาล 2006-07 เขาเป็นผู้เล่นที่ลงสนามให้กับ มิลาน มากที่สุด 2,782 นาที และในเดือนตุลาคม 2007 ก็ได้รับการเสนอชื่อให้ลุ้นเป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าด้วย นอกเหนือจากผลงานอันยอดเยี่ยมในระดับสโมสรแล้ว ฟอร์มการเล่นกับทีมชาติอิตาลีของ ปิร์โล่ ก็ถือว่าน่าประทับใจไม่แพ้กันมิดฟิลด์ตัวเก่งลงเล่นให้ทีมอัซซูรี่ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อปี 2000 และก่อนจะคว้าเหรียญทองแดงมาครองได้ในอีก 4 ปีต่อมา ที่ เอเธนส์ เกมส์ 2004 ในประเทศกรีซ นอกจากนั้น ปิร์โล่ ยังเป็นกัปตันทีมชาติอิตาลี ที่คว้าแชมป์ยุโรป ในชุดยู-21 ปี เมื่อปี 2000 ด้วย ปิร์โล่ เป็นหนึ่งในสมาชิกชุดแชมป์โลก 2006 ของทีมชาติอิตาลี โดยในแมตช์แรกของทัวร์นาเมนต์ เขาเป็นคนพังประตูแรกให้ทีม ตามด้วยการเป็นคนผ่านบอลให้ วินเชนโซ่ มอนเตลล่า ทำประตูที่ช่วยให้ทีมอัซซูรี่ คว้าชัย 2-0 และคว้าตำแหน่งแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ไปครอง จากนั้น เพลย์เมกเกอร์จากเอซี มิลาน ก็ยังทำผลงานได้เยี่ยม โดยเฉพาะในรอบรองชนะเลิศ ที่พบกับเจ้าภาพอย่าง เยอรมัน โดยเขาเป็นคนพาบอลเข้าไปบริเวณหน้ากรอบเขตโทษของเยอรมัน และเปิดบอลให้ ฟาบิโอ กรอสโซ่ ทำประตูชัยในนาทีที่ 119 และอีกไม่กี่อึดใจต่อมา อเลนสซานโดร เดล ปิเอโร่ ก็มาทำประตูย้ำชัยชนะให้ อิตาลี ชนะไป 2-0 โดยที่ ปิร์โล่ ได้รับตำแหน่งแมน ออฟ เดอะ แมตช์ อีกครั้ง ในรอบชิงชนะเลิศกับ ฝรั่งเศส เขาเป็นคนเปิดลูกเตะมุมให้ มาร์โก้ มาเตราซซี่ โหม่งตีเสมอให้ทีมอัซซูรี่ หลังจากที่ทีมตราไก่ ทำประตูนำไปก่อนได้เพียง 6 นาที และเมื่อเกมต้องไปตัดสินกันด้วยการดวลจุดโทษ ปิร์โล่ ก็ซัดไม่พลาด ซึ่งจากผลงานดังกล่าว ก็ทำให้เขาได้รับตำแหน่งแมน ออฟ เดอะ แมตช์ เป็นครั้งที่ 3 มากกว่าผู้เล่นทุกคนในทัวร์นาเมนต์ และเขาได้รับการโหวตให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมอันดับ 3 ประจำศึกฟุตบอลโลก 2006 ต่อจาก ซีเนอดีน ซีดาน และ ฟาบิโอ คันนาวาโร่