คริสเตียโน่ โรนัลโด้
ปีกชาวโปรตุกีส วัย 23 ปี กลายเป็นนักเตะคนแรกที่เหมา 2 รางวัลของพีเอฟเอในฤดูกาลเดียวกันต่อจากแอนดี้ เกรย์ ที่เคยทำได้เมื่อปี 1977
ไม่มีใครเถียงว่าความเร็วและลีลาการสับขาหลอกของเขาสามารถสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับบรรดากองหลังทีมคู่แข่ง แต่ในบางครั้งมันก็รวมถึงเพื่อนร่วมทีมแมนฯ ยูไนเต็ดด้วย โดยเฉพาะช่วงแรกๆ ที่ โรนัลโด้ มักจะโดนจวกว่าเป็นพวกชอบโชว์มากจนทำให้เกมเสียไปบ่อยครั้งก่อนจะเริ่มเล่นเป็นทีมได้ดีขึ้นในเวลาต่อมา
โรนัลโด้ เริ่มเตะฟุตบอลครั้งแรกตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ก่อนที่จะลงเล่นในทีมสมัครเล่นเป็นครั้งแรกด้วยวัยเพียง 8 ขวบ กับทีมอันดอรินญ่า และในปี 1995 ชื่อเสียงของเจ้าหนูรอนนี่วัย 10 ปี ก็เริ่มเป็นที่รู้จักในดินแดนฝอยทอง ส่งผลให้สองทีมชั้นนำในประเทศบ้านเกิดอย่าง มาริติโม่ และ นาซิอองนาล ต่างให้ความสนใจที่จะจับนักเตะอนาคตไกลรายนี้เซ็นสัญญา
หลังจากที่ลงเล่นให้กับ นาซิอองนาล ในทีมระดับเยาวชนแล้ว โรนัลโด้ ก็ย้ายมาร่วมทีมใหญ่กว่าอย่าง สปอร์ติง ลิสบอน แบบไม่เปิดเผยค่าตัว ก่อนจะกลายเป็นกำลังสำคัญให้กับทีมตั้งแต่อายุยังน้อย และฝีเท้าที่เก่งเกินวัย 16 ปีของเขา ก็ไปเตะตา เชราร์ อุลลิเย่ร์ อดีตผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูล เข้าอย่างจัง แต่ยักษ์ใหญ่จากเมอร์ซี่ย์ไซด์ก็ไม่ได้ดำเนินการใดๆ ต่อเนื่องจากมองว่า โรนัลโด้ ยังเด็กเกินไป
ขณะที่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ปิ๊งในฝีเท้าของ โรนัลโด้ ทันทีที่ได้เห็นปีกจรวดรายนี้โชว์ฟอร์มได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจในเกมนัดกระชับมิตรช่วงปรีซีซั่นระหว่าง สปอร์ติง ลิสบอน กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเหยี่ยวลิสบอนเป็นฝ่ายชนะไป 3-1 และนั่นก็ทำให้กุนซือของปีศาจแดงต้องอ้อนวอนให้บอร์ดบริหารอนุมัติเงินก้อนโตเพื่อนักเตะวัยเพียง 18 ปี
นับตั้งแต่ย้ายจากสปอร์ติง ลิสบอน ทีมในลีกบ้านเกิดมาร่วมถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อเดือนสิงหาคม 2003 ด้วยค่าตัว 12.24 ล้านปอนด์ (ประมาณ 856 ล้านบาท) โรนัลโด้ ก็กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีเทคนิคการเล่นแพรวพราวมากที่สุดในเกาะอังกฤษทันที
โรนัลโด้ ใช้เวลาไม่นานนักในการปรับตัวให้เข้ากับพรีเมียร์ชิพ และผลงาน 8 ประตู จากการลงสนาม 39 นัด ซึ่งรวมถึงประตูแรกในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ กับ มิลล์วอลล์ ก็ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (Sir Matt Busby Player of the Year) ประจำฤดูกาล 2003/04
ฤดูกาลที่ 2 ของโรนัลโด้ ในยูนิฟอร์มปีศาจแดงไม่ดีเท่ากับปีแรก หลังจากที่จบฤดูกาลด้วยการลงสนาม 50 นัด แต่ทำได้แค่ 9 ประตู ทั้งที่ก่อนหน้านี้เพิ่งจะโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการพาทีมชาติโปรตุเกสผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในศึกยูโร 2004 ก่อนพ่ายให้กับ กรีซ ไปอย่างพลิกความคาดหมาย
อย่างไรก็ดี ในฤดูกาล 2005/06 โรนัลโด้ ก็เรียกฟอร์มเก่งของตัวเองมาได้อีกครั้งในช่วงครึ่งซีซั่นหลัง ซึ่งรวมถึงการพังประตูสุดสวยแห่งฤดูกาลในเกมที่พบกับปอร์ทสมัธ และได้ยิงในเกมรอบชิงชนะเลิศคาร์ลิง คัพด้วย ก่อนจะจบซีซั่นด้วยการทำ 12 ประตู จากการลงสนาม 47 นัด
ปีกจอมสับชาวโปรตุกีส คว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของฟิฟโปร (FIFPro Special Young Player of the Year 2005) ซึ่งเป็นรางวัลเดียวที่ให้แฟนๆ เป็นผู้ลงคะแนนโหวตตัดสิน และในปีเดียวกันเขาก็ได้อันดับที่ 20 ในตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าด้วย
กระนั้นก็ตาม โรนัลโด้ ก็ต้องเผชิญช่วงเวลาอันยากลำบากในเส้นทางลูกหนังเช่นกัน หลังจากที่เขาถูกแฟนบอลอังกฤษรุมโห่ไล่หลังจากที่มีส่วนทำให้ เวย์น รูนี่ย์ เพื่อนร่วมทีมปีศาจแดง ต้องถูกไล่ออกในเกมที่ทีมสิงโตคำราม พบกับ โปรตุเกส ในศึกฟุตบอลโลก 2006
ทว่า นักเตะวัย 23 ปี ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงสภาพจิตใจที่แข็งแกร่ง เขาผ่านความกดดันต่างๆ มาได้อย่างน่าชื่นชม และดูเหมือนว่าเสียงโห่ต่างๆ จะยิ่งทำให้ โรนัลโด้ เค้นฟอร์มที่สุดยอดออกมากลบเสียงวิจารณ์ไปได้เกือบหมด และความคงเส้นคงวาของเขาก็มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ปีศาจแดงยังอยู่ในเส้นทางลุ้นทริปเปิลแชมป์อยู่ในเวลานี้ด้วย
และนั่นก็คงเป็นเหตุผลว่าทำไม คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ถึงชนะใจกรรมการและคว้า 2 รางวัลใหญ่ของพีเอฟเอไปครองแบบไม่มีพลิกโผ
โรนัลโด้ ทำแฮตทริกแรกให้แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ในเกมที่ถล่ม นิวคาสเซิ่ล 6-0 ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2008 จากนั้น ก็ยังทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง ก่อนจะจบฤดูกาลด้วยการคว้าตำแหน่งดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกหลังกดไป 31 ประตู นอกจากนั้น ยังเป็นดาวซัลโวสูงสุดของศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยโดยเขาเป็นคนยิงประตูแรกให้ปีศาจแดง ขึ้นนำ เชลซี 1-0 ก่อนที่จะมาพลาดในการยิงจุดโทษตัดสิน แต่สุดท้ายลูกทีมของเฟอร์กี้ ก็ยังเฉือนชนะไปได้ 6-5 และคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 3 ได้อยู่ดี
ดาวเตะทีมชาติโปรตุเกส คว้ารางวัลรองเท้าทองคำของยุโรปประจำฤดูกาล 2007/08 ไปครองอย่างไร้คู่แข่งในฐานะดาวซัลโวสูงสุด โดยเขาทำประตูรวมทั้งหมด 42 ประตูในทุกรายการให้กับปีศาจแดง
ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล