ฟาบิโอ คันนาวาโร่ (Fabio Cannavaro)




ฟาบิโอ คันนาวาโร่ (Fabio Cannavaro)





















วันเกิด 13 กันยายน 1973
สถานที่เกิด Naples, Italy
สโมสร นาโปลี, ปาร์ม่า, อินเตอร์ มิลาน, ยูเวนตุส, เรอัล มาดริด
ความสำเร็จ ติดทีมชาติชุดเยาชนอิตาลี, ติดทีมชาติอิตาลีชุดใหญ่, แชมป์ฟุตบอลโลก, แชมป์กัลโช่ เซียรีย์ อา, แชมป์ยูฟ่าคัพ, แชมป์อิตาเลียนซุปเปอร์คัพ, แชมป์โคปาอิตาเลีย, นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรป









นักเตะกองหลังหมายเลขหนึ่งของโลก ที่ผ่านประสบการณ์มากมาย พาทีมเป็นทั้งแชมป์โลก และแชมป์ลีก ต้องการจะสร้างความสำเร็จอีกครั้งในลาลีก้า

ฟาบิโอ คันนาวาโร่ เป็นลูกคนที่สองในพี่น้องสามคน เขาเริ่มต้นเล่นฟุตบอลตอนอายุ 8 ขวบ และพออายุ 11 ขวบก็เข้าไปร่วมฝึกกับทีมเยาวชนของนาโปลี  เขาได้พบเห็นการลงเล่นในสนามของมาราโดน่ากับนาโปลี และประทับใจอย่างมาก เขาได้มีโอกาสเป็น Ball Boyของนาโปลี และได้พบกับ ซิโร่ แฟร์ไรร่า นักเตะกองหลังชั้นยอดของทีมชาติอิตาลี ซึ่งเป็นต้นแบบของเขาในเวลาต่อมา


1991-1992
เขาได้รับสัญญาเป็นนักเตะอาชีพของนาโปลีตอนอายุ 18 ปี แต่ด้วยวัยอันน้อยนิดและประกอบกับช่วงนั้นนาโปลีเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่เขาจึงยังไม่ได้มีโอกาสลงสัมผัสเกม


1992-1993
เขาได้มีโอกาสสัมผัสเกมลีกกัลโช่ เซียรีย์ อาครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 1993 หลังการจากไปของราชาลูกหนังอย่างมาราโดน่า ในเกมที่นาโปลีพบกับยูเวนตุสและถือเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับเขาเลยทีเดียว แต่โดยทั้งฤดูกาลลงเล่นเพียง 2 นัดเท่านั้น


ถึงแม้จะได้ลงเล่นในลีกเพียงไม่กี่นัดแต่เขาก็ถูกเซซาเร่ มัลดินี่โค้ชทีมชาติอิตาลีชุดยู-21 เรียกเข้าสู่ทีม และเป็นจุดเริ่มต้นครั้งรแกของเขาในระดับชาติ


1993-1994
ด้วยวัยเพียง 20 ต้น ๆ เขาได้รับโอกาสให้เป็นตัวหลักของทีมเป็นฤดูกาลแรกโดยลงเล่นถึง 27 นัด และกลายเป็นกองหลังตัวหลักของทีมได้ในที่สุด


1994-1995
คันนาวาโร่ ยังโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมกับนาโปลี และทำได้ 1 ประตู ใน 29 นัดที่เขาลงเล่น และได้รับการจับตามองจากทีมต่าง ๆ มากมายในขณะนั้น และปาร์ม่าหนึ่งในสโมสรยักษ์ใหญ่ของอิตาลีก้าวเข้ามาคว้าตัวเขาไปร่วมทีมในช่วงสิ้นฤดูกาล


1995-1996
เขาลงเล่นภายใต้สังกัดใหม่กับปาร์ม่า โดยที่นี่เขาได้พบกับ ลิลิยอง  ตูราม และจิอันลุยจิ บุฟฟ่อน โดยเขายังเล่นได้อย่างแข็งแกร่งและทำได้ 1 ประตู ใน 29 นัด พาทีมจบอันดับที่ 6 ในลีกคว้าสิทธิ์ไปเล่นยูฟ่าคัพ


1996-1997
ปีนี้เขาโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นมาก ภายใต้การคุมทีมของคาร์โล อันเชล็อตติ พาปาร์ม่าจบอันดับที่สองในลีก โดยมีคะแนนเป็นรองทีมแชมป์อย่างยูเวนตุสเพียงแค่ 2 คะแนนเท่านั้น โดยเขาลงเล่นในลีกทั้งสิ้น 27 นัด


จากการโชว์ฟอร์มดีอย่างต่อเนื่องทำให้เขาถูกเรียกตัวติดทีมชาติอิตาลีเป็นครั้งแรกในเดือนมกราคม 1997 กับไอร์แลนด์เหนือ และก็ถูกเรียกตัวติดทีมเรื่อยมา


1997-1998
เขาลงเล่นในลีก 31 นัด และเกมแชมเปี้ยนลีกอีก 7 นัด แต่อันดับปาร์มาล่วงมาถึงที่ 6 ในสิ้นฤดูกาล แต่ก็ยังได้สิทธิ์ไปเล่นยูฟ่าคัพ


แม้ว่าสโมสรจะไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ แต่เขาก็ถูกเรียกตัวติดทีมชาติอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงแรก ๆ จะในฐานะตัวสำรองก็ตาม แต่เขาก็ได้เข้าร่วมฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศสในฐานะผู้เล่นชุดแรกของทีมชาติอิตาลีและพาอิตาลีผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยไม่แพ้ทีมใดเลย แต่ก็ต้องมาตกรอบด้วยฝีมือของแชมป์โลกในปีนั้นอย่างฝรั่งเศสด้วยการยิงจุดโทษ


1998-1999
เขาพาปาร์ม่าได้แชมป์ยูฟ่าคัพ แชมป์อิตาเลียนซุปเปอร์คัพ และโคปาอิตาเลีย โดยลงเล่นในลีกทั้งสิ้น 30 นัดทำได้ 1 ประตูพาทีมจบอันดับที่ 4 ในตารางการแข่งขัน ส่วนในเกมยูฟ่าคัพอีก 8นัด โดยในนัดชิงยูฟ่าคัพทีมของเขาเอาชนะโอลิมปิค มาร์กเซย์ถึง 3-0 โดยปีนี้เขาได้เล่นร่วมกับนักเตุชื่อดังอย่าง ดิโน่ บักโจ้, ฮวน เซบาสเตียน เวรอน, เฮอร์นาน เครสโป, เอริโก้ เคียร์ซ่า, ลิยอง  ตูราม และจิอันลุยจิ บุฟฟ่อน


1999-2000
ปีนี้เขาลงรับใช้ต้นสังกัดอีก 31 เกมลีกโดยทำได้ 2 ประตู และอีก 8 นัดในเกมยุโรป แต่ปาร์ม่าก็ไม่มีความสำเร็จแบบเป็นชิ้นเป็นอัน จบด้วยอันดับ 5 ในตารางกัลโช่ เซียรีย์ อา


เขาถูกเรียกตัวติดทีมยูโร 2000 ที่ฮอลแลนด์และเบลเยียม และเป็นผู้เล่นตัวหลักของทีมอีกครั้งเขาพาทีมทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งในนัดชิงนี้อิตาลีเจอกับฝรั่งเศสทีมที่เขี่ยพวกเขาตกรอบฟุตบอลโลก1998 เขาและทีมหวังจะล้างตาเอาชนะให้ได้ และทีมของเขาก็น่าจะทำสำเร็จเพราะในนาทีที่ 90 อิตาลียังนำอยู่ 1-0 แต่แล้วสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อวิลตอร์ของฝรั่งเศสยิงตีเสมอก่อนหมดเวลา และในช่วงต่อเวลาก็เป็นเทร์เซเก้ก็ยิงประตูชัย สร้างความช้ำใจให้คันนาวาโร่และทีมชาติอิตาลีอีกครั้ง แต่เขาก็ได้รับการคัดเลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยมของทัวร์นาเม้นท์


2000-2001
เขาลงเล่นให้ปาร์ม่าอีก 33 นัดในเกมลีก และ  3 นัดในเกมยูฟ่าคัพ ทีมจบด้วยอันดับที่ 4 ของตาราง แต่ก็ยังไม่มีความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน ได้เพียงแค่รองแชมป์โคปา อิตาเลีย ทำให้นักเตะดัง ๆ หลายคนเริ่มย้ายทีมออกไปซึ่งก็รวมถึง ลิยอง  ตูราม และจิอันลุยจิ บุฟฟ่อน


2001-2002
เมื่อลิยอง  ตูราม และจิอันลุยจิ บุฟฟ่อนจากไปเขาจึงถูกวางตัวเป็นกัปตันทีมปาร์ม่าแทน และเขาก็พาทีมเป็นแชมป์โคปา อิตาเลียได้อีกครั้ง แต่ในเกมลีกทีมจบด้วยอันดับ 10 และกลายเป็นทีมระดับกลาง ๆ ไปทันที โดยเขาลงเล่น 31 นัดในลีกและ 8 เกมยุโรป และในช่วงปิดฤดูกาลปาร์ม่าก็ขายเขาให้กับอินเตอร์ มิลาน ในราคา 32 ล้านยูโร


ในฟุตบอลโลก 2002 เขาได้เข้าร่วมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้อิตาลีโชวฟอร์มไม่ดีนัก โดยทำได้แค่อันดับสองในรอบแบ่งกลุ่ม และต้องตกรอบสองด้วยประตูโกลเด้นโกลของเกาหลีใต้เจ้าภาพ


2002-2003
เขาเริ่มต้นฤดูกาลใหม่กับอินเตอร์ มิลาน และลงเล่นในลีก 28 เกมทำได้ 1 ประตู และอีก 1 ประตูจากเกมแชมเปี้ยนลลีก 11 นัด แต่ก็ยังไม่สามารถพาอินเตอร์เป็นแชมป์ได้โดยได้เพียงแค่รองแชมป์กัลโช่ เซียรีย์ อา


2003-2004
เขายังอยู่กับอินเตอร์มิลาน โดยเล่นในเกมลีกอีก 22 นัดทำได้ 2 ประตู และลงเล่นเกมยุโรปอีก 9 นัด โดยยังไม่มีความสำเร็จใด ๆ ทั้งของทีมและของตัวเขา


ยูโร 2004 ที่โปรตุเกส อิตาลีต้องขายหน้าอย่างมากด้วยการกระเด็นตกรอบแรก หลังจากเสมอเดนมาร์ก 0-0 และเสมอสวีเดน 1-1 ตามด้วยชนะบัลแกเรีย 2-1 โดยมีคะแนนเท่ากับสวีเดน และเดนมาร์ก แต่ต้องตกรอบด้วยประตูได้-เสีย โดยทัวร์นาเมนท์นี้คันนาวาโร่ได้ลงเล่นเพียง 2 นัดเท่านั้น เพราะโดนโทษแบน 2 ใบเหลือง นับเป็นความผิดหวังของเขาอย่างยิ่ง


2004-2005
เขาย้ายมาร่วมทีมยูเวนตุสโดยได้พบกับอดีตเพื่อนร่วมทีมของเขาอย่าง ลิยอง  ตูราม และจิอันลุยจิ บุฟฟ่อน โดยลงเล่น 38 นัดในลีกทำได้ 2 ประตู ช่วยให้ทีมขึ้นครองแชมป์ สคูเด๊ตโต้ กัลโช่ เซียรีย์ อา และเป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในชีวิตของเขา ส่วนในแชมเปี้ยนลีกเขาทำอีก 1 ประตูจาก 9 นัด โดยยูเวนตุสตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยการแพ้ลิเวอร์พูลแชมป์ในปีนั้นไป 2-1


2005-2006
เขาลงเล่นให้ยูเวนตุสอีก 36 นัดในลีก และทำได้ 4 ประตู เป็นอีกฤดูกาลที่ยูเวนตุสก้าวขึ้นสู่บรรลังค์แชมป์กัลโช่ เซียรีย์ อาอย่างง่ายดาย แต่ในแชมเปี้ยนลีกลงเล่น 9 นัด โดยยูเวนตุสตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายอีกครั้งด้วยการแพ้ทีมจากอังกฤษเช่นเคย โดยเป็นอาร์เซนอลรองแชป์ปีนั้นที่ชนะไป


ในฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมัน อิตาลีเข้าร่วมการแข่งขันอีกครั้ง แต่ไม่ได้มาในฐานะเต็งแชมป์เหมือนครั้งก่อน ๆ แต่พวกเขาก็แสดงให้เห็นศักยภาพอันเต็มเปี่ยม ด้วยการผ่านเข้ารอบไปเรื่อย ๆ จนถึงนัดชิงชนะเลิศ โดยนัดชิงนี้เองเขาได้พบกับฝรั่งเศสอีกครั้ง และถือเป็นเหมือนสงครามที่ทั้งสองทีมได้พบกันอีกครั้ง โดยอิตาลีมีมาร์เซโล่ ลิปปี้เป็นกุนซือ ส่วนฝรั่งเศสก็มีเรย์มงด์ โดเมอเน็คคุมทัพอยู่ แต่นักเตะที่นำทัพของฝรั่งเศสคือมิดฟิลด์หมายเลข 1 ของโลก ซีเนอดีน ซีดาน ส่วนอิตาลีก็เป็นกองหลังหมายเลข 1 เช่นกัน ฟาบิโอ คันนาวาโร่ ทั้งสองทีมเสมอกันในเวลาการแข่งขัน แต่ครั้งนี้เป็นอิตาลีที่ยิงจุดโทษเอาชนะไปได้ และนั่นเองทำให้ผู้ที่ขึ้นรับถ้วยเวิร์ลคัพ ฟีฟ่าครั้งนี้คือ ฟาบิโอ คันนาวาโร่


แต่หลังจากที่ยูเวนตุสได้แชมป์ ก็มีข่าวปัญหาการพัวพันคดีล็อคผู้ตัดสิน และล็อคผลการแข่งขัน หลังจากสมาคมฟุตบอลอิตาลีและศาลตัดสินให้ทีมที่พัวพันอันประกอบด้วยเอซีมิลาน ลาซิโอ ฟิออเรนติน่า และยูเวนตุสมีความผิดจริง ทำให้ยูเวนตุสโดนยึดแชมป์ และถูกปรับตกชั้น นักเตะหลายคนเดินจากไป ซึ่งก็รวมถึง ฟาบิโอ คันนาวาโร่ ด้วย


2006-2007
เขาย้ายมาร่วมทีมรวมดาราโลกอย่างเรอัล มาดริด ซึ่งที่นี่เขาได้ลงเล่นกับนักเตะชื่อดังมากมายทั้งเดวิด เบ็คแฮม, โรนัลโด้, โรเบอร์โต้ คาร์ลอส, รุดฟาน นิสเตลรอย, ราอูล กอนซาเลส, เอเมอร์สัน, อีเคร์ กาซียาส โดยเขาเข้ามาเป็นหัวใจของแนวรับให้ทีม ภายใต้การคุมทีมของฟาบิโอ คาเปลโล่ และหวังว่าเขาจะสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ให้ได้อีกสักครั้ง


ด้วยการพาทีมเป็นแชมป์โลก และแชมป์กัลโช่ เซียรีย์ อา ทำให้เขาได้รับการโหวตให้ได้รับรางวัลบัลลง ดอร์ หรือนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรป




Fabio Cannavaro - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์