มันไม่ใช่ 3 แต้มที่ขยับลิเวอร์พูลเข้าไปใกล้ แมนฯยู จนเหลือแค่ 2 คะแนน แต่ยังจุดประกายความหวังให้มองไกลกว่านั้น
บางทีการกลับมายิง 2 ประตูของ เฟร์นานโด ตอร์เรส อาจเป็นการเริ่มติดเครื่องใหม่ นำไปสู่อีกหลายประตูที่จะตามมา หงส์แดงไม่มีกองหน้าดีๆ ให้เลือกมากจึงต้องพึ่งตอร์เรสเป็นหัวหน้าครอบครัว หวังว่าจะยิงอย่างน้อย 25 ประตูขึ้นไป ซึ่งถ้าทำได้ ก็คงเบียดกับแมนฯยูไปยาวๆ
อีกอย่างที่เป็นผลพลอยได้คือ ความมั่นใจที่กลับมา
ลิเวอร์พูลฟอร์มแป้ก เล่นเสมอมาติดๆ กันหลายนัด โดนสื่อตั้งคำถามมากมาย ว่าจะยืนระยะไปได้แค่ไหน แต่หลังจากชนะเชลซี ลูกทีมของ ราฟา เบนิเตซ คงใจชื้น และเริ่มกลับมาเชื่อมือตัวเองอีกครั้ง
ทั้งหมดคือ ความหวังที่ถูกจุดขึ้นมาด้วย 3 แต้มใหญ่จากนัดล่าสุด
แต่ถึงยังงั้น หงส์แดง ก็ยังต้องทำการบ้านอีกหลายข้อ โดยเฉพาะในแนวรุก ซึ่งขาจรจะช่วยแบ่งเบาภาระให้ตอร์เรสมากกว่านี้
พวกตัวบุกหลายคนยังเล่นไม่ออกนะครับ ไม่ว่าจะเป็น เดิร์ก เคาท์, ไรอัน บาเบิ้ล, อัลเบิร์ต ริเอร่า ขณะที่ ยอสซี่ เบนายูน ก็น่าจะมีส่วนร่วมเยอะกว่าที่เป็นอยู่ ถ้ากุนซือราฟาไม่มัวแต่ห่วงเกมรับมากเกินไป
กล้าๆ อีกหน่อย ลิเวอร์พูลคงหวือหวากว่าเดิมเพราะดูแล้วเรื่องฝีเท้ากับความมุ่งมั่น นักเตะหงส์แดงมีครบหมด ขาดก็แค่แทคติคไม่ค่อยอำนวยเท่านั้น
ผมว่าส่วนหนึ่งที่พวกแนวรุกฟอร์มไม่แจ่ม น่าจะเป็นเพราะราฟาดูแลไม่ค่อยดี ให้ทำหลายอย่างเกินไป ใช้พลังมากไปในการไล่ประกบคู่แข่ง แต่งานประจำคือ การยิงประตูกลับบกพร่องซะงั้น
อีก 14 นัดที่เหลือ ถ้าลิเวอร์พูลจะแย่งแชมป์กับแมนฯยูให้ตลอด ราฟา เบนิเตซ ต้องสร้างเกมรุกให้หวังผลได้มากขึ้น อย่างน้อยก็ควรสูสีกับความทุ่มเทของนักเตะที่มากจนแทบล้น
ตรงนี้คือจุดเด่นของลิเวอร์พูล ซึ่งแตกต่างจากเชลซี สังเกตไหมครับว่าเกมล่าสุดที่แอนฟิลด์ แทบจะเป็นหงส์แดงฝ่ายเดียวที่ให้ใจกระหาย 3 แต้ม ตรงข้ามกับทีมเยือนลิบลับ
ทีมของบิ๊กฟิล สโคลารี่ เหมือนเล่นไปตามหน้าที่ เช้าชามเย็นชาม ถึงมี 11 คนเท่ากันก็คงไม่รอดอยู่ดี
ทีมที่จะบดแย่งแชมป์ กับแมนฯยูน่ะใจต้องมาก่อน เรื่องอื่นยังพอสร้างกันที่หลังได้