'เอล กลาซิโก้' กับภารกิจศักดิ์สิทธิ์ของฆวนเด้ รามอส
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันในซานติอาโก เบอร์นาบิว ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่จะว่ากระทันหันก็ไม่ใช่เพราะมีการทำใจไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว แต่ถ้าบอกว่าไม่รู้สึกอะไรก็ไม่เชิง เพราะการปลดแบร์นด์ ชุสเตอร์ กุนซือขบถลูกหนังออกจากตำแหน่งมันเกิดขึ้นก่อนเกม เอล กลาซิโก้ ที่จะเป็นการพบกันของสองทีมยักษ์ใหญ่ที่ดำรงความเป็นคู่ปรับตลอดกาลของสเปนแค่เพียงไม่ถึงสัปดาห์ แต่ลึกๆแล้วเหตุผลของการปลดชุสเตอร์ ก็มาจากการไปหลุดปากพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าเรอัล มาดริด ไม่มีหวังที่จะชนะคู่ปรับอย่าง เจ้าบุญทุ่ม บาร์เซโลน่า ที่ทำผลงานสุดร้อนแรงในฤดูกาลนี้ ไม่แพ้ใครมาแล้วติดต่อกัน 12
ถึงจะเริ่มงานแรกไปแล้วหลังเข้ารับตำแหน่งแบบสุดช็อก แต่งานใหญ่ที่แท้จริงของฆวนเด้ รามอส กุนซือส้มหล่นคือการนำ ราชันชุดขาว คืนชีพให้ได้โดยเร็วที่สุดและไม่มีวิกฤติไหนจะใช้เป็นโอกาสได้ดีเท่าการเจอคู่ปรับตลอดกาลอย่างบาร์เซโลน่าอีกแล้ว
นับประสาอะไรกับเรอัล ที่อากาสโคม่าหล่นมาอยู่ที่ 5 และตามหลังจ่าฝูงถึง 9 แต้ม
มันเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างจากเมื่อปีกลายที่มาดริด คว้าแชมป์โดยมีบาร์ซ่า โดนทิ้งห่างไกลถึง 18 แต้มมากเหลือเกิน
อย่างไรก็ดี การแต่งตั้งรามอส ที่ตกงานหลังโดนสเปอร์ส เฉดหัวส่งเพราะทำผลงานในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาลได้เลวร้ายที่สุดเป็นประวัติการณ์ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ช็อกความรู้สึกไม่น้อย
ไม่ใช่เพราะไม่ไว้ใจในฝีมือ แต่ไม่เชื่อถือในบารมีของกุนซือรายนี้มากกว่า เพราะเพียงคิดย้อนไปว่าเหตุผลสำคัญที่ทำให้รามอส ต้องออกจากงานที่ไวท์ ฮาร์ท เลน เร็วแบบเหลือเชื่อทั้งที่ปีกลายเพิ่งจะชุบชีวิตทีมจนได้ดิบได้ดีคว้าแชมป์คาร์ลิ่ง คัพ ไม่นับการเสริมทีมที่ดูดีชนิดต้องมีลุ้นไปแชมเปี้ยนส์ ลีก ก็คือการที่เขาไม่ได้รับความไว้วางใจจากลูกทีมไก่เดือยทอง
แล้วกุนซือเครดิตเสื่อมคนนี้จะคุมซูเปอร์สตาร์ที่นอกจากจะอีโก้จัดแล้ว ยังอยู่ในช่วงภาวะอ่อนไหวกับผลงานของทีมที่เข้าขั้นวิกฤติย่อมๆได้หรือ?
รามอส อาจจะผ่านเกมแรกในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาได้แบบสวยงามไม่เบากับชัยชนะเหนือเซนิต 3-0 แต่กับบาร์ซ่า ที่กำลังเป็นสิงห์คะนองนา ต่อให้เล่นที่เบอร์นาบิว มองกันตัวต่อตัว ฟอร์มต่อฟอร์มแล้ว ใครๆก็มองออกว่าโอกาสที่เรอัล จะชนะมีน้อยกว่าบาร์ซ่า จะมีชัยพอสมควร
ยิ่งเล่นที่คัมป์ นู บาร์ซ่า แทบจะปิดประตูแพ้เลย
แต่กุนซือที่สร้างชื่อมากับการทำให้เซบิย่า กลายเป็นทีมชั้นดีของสเปนอีกทีมก็ดูจะมั่นใจพอสมควรว่าต่อให้ราชันชุดขาวจะมีรอยเหว้าแหว่งเพราะตัวหลักบาดเจ็บมากมายขนาดไหน (ล่าสุดรูเบน เดอ ลา เร้ด กองกลางดาวรุ่งต้องพักทั้งฤดูกาลจากความผิดปกติของสมองที่โดนสั่งให้พักฟื้นไปก่อนไม่งั้นอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต) ความศักดิ์สิทธิ์ของเกมเอล กลาซิโก้ ก็น่าจะช่วยให้มาดริด มีชัยได้ถึงชามอ่างยักษ์
มีเหตุผลอะไรที่ทำให้รามอส กล้าจะประกาศล่วงหน้าขนาดนั้น?
ประการแรก เขาจำเป็นที่จะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับทีมก่อน เพราะที่ผ่านมาเรอัล เสียเซลฟ์ไปเยอะมากจนทำให้อะไรๆมันก็ดูเลวร้ายไปหมด ยิ่งมีปัญหาตัวหลักบาดเจ็บระนาวยิ่งทำให้สภาพจิตใจของทีมติดลบเข้าไปอีก
ประการที่สอง มันสืบเนื่องจากประการแรก เพราะการประกาศด้วยความมั่นใจของนายใหญ่ย่อมปลุกใจลูกทีม และจะนำไปสู่โอกาสที่จะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า บอลเปลี่ยนโค้ช ซึ่งหมายถึงการที่ทีมที่เคยย่ำแย่มานานๆกลับมาพลิกฟื้นได้เพราะมีเจ้านายคนใหม่เข้ามากอบกู้สถานการณ์ของทีม
ประการที่สาม มันเป็นการเล่นเกมจิตวิทยาเตือนบาร์ซ่า โดยเฉพาะเป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือไฟแรงมือขึ้นหม้อว่าไม่ให้ชะล่าใจเกินไป
อย่างน้อยก็ขอให้รู้ว่าคู่แข่งคนนี้ไม่ใช่โนเนมมาจากไหน ประสบการณ์นั้นเคี่ยวกรำมากกว่ากันเยอะ
ทีนี้ก็เหลือที่การวางแผนของรามอส ที่จะต้องรับมือกับเกมรุกสุดอลังการของบาร์ซ่า ให้อยู่หมัดเท่านั้น
ยิ่งต้านทานได้นานเท่าไหร่โอกาสที่อย่างน้อยจะเก็บผลเสมอกลับมาก็เป็นไปได้อยุ่ รามอส เองก็รู้ดีในจุดนี้ถึงได้ประกาศชัดเจนว่าช่วงต้นเกมเป็นช่วงที่สำคัญที่สุด เพราะหากเสียประตูเร็วย่อมมีโอกาสโดนยิงไส้ไหลได้ง่ายๆ
ดังนั้นเชื่อได้เลยว่าในเกมที่คัมป์ นู ซึ่งเตะกันเกือบเช้าวันอาทิตย์ (ตี 4) มาดริด เน้นเกมอุดแหลกแน่
ผลเสมอคือสิ่งที่รามอส น่าจะมองไว้มากกว่าการไปคว้าชัยชนะจริงๆที่ดูจะเป็นฝันกลางวันมากกว่า แม้จะรู้ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ในเกมเอล กลาซิโก้ ก็ตาม
แต่ยามนี้ เวลานี้ มาดริด พลาดไม่ได้อีกแล้ว และแต้มเดียวจากคัมป์ นู ก็ดีพอที่จะต่อยอดไว้ชุบชีวิตราชันชุดขาวให้กลับมามีลุ้นป้องกันแชมป์อีกครั้งในฤดูกาลนี้