เมื่อปี 2004 และการบุกชนะเชลซีเมื่อวันอาทิตย์ก็เป็น 3 แต้มสำคัญสุดในยุคของเขา
ราฟาอาจจะพาหงส์แดงได้ถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกเมื่อ 3 ปีก่อน แต่ในความเป็นจริงคือ ช่วงนั้นทีมก็ยังอยู่ภายใต้ร่มเงาของพวก เชลซี แมนฯยู อาร์เซน่อล ไม่เหมือนผลงานล่าสุดจากสแตมฟอร์ดบริดจ์ ซึ่งทำให้บารมีของลิเวอร์พูลพุ่งขึ้นมาอยู่บนจุดเดียวกัน มีโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไม่ต่างจากพี่เบิ้มรายอื่นๆ
การบุกชนะเชลซีไม่ใช่แค่ 3 แต้ม ที่ตัดสินตำแหน่งจ่าฝูง ไม่ใช่การหยุดสถิติไม่แพ้บอลลีกในบ้านของสิงโตน้ำเงินครามไว้ที่ 86 นัด แต่สำคัญกว่านั้นคือ เป็น 3 แต้มที่สร้างความมั่นใจแก่ทีมของราฟา เบนิเตซ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ชนะ แมนฯยู กับ เชลซี มาได้ ต่อไปหงส์แดงจะเชื่อมือตัวเองมากขึ้น ลงสนามไปไม่ว่าเจอคู่ต่อสู้เก่งแค่ไหน เจองานยากยังไงมันก็กล้าเล่น ไม่ตื่น ไม่เกร็ง เพราะลึกๆ แล้วเชื่อว่าดีพอจะชนะใครก็ได้ ดีพอจะเป็นแชมป์ได้
อย่าลืมว่าลิเวอร์พูลโค่นสิงโตกับปีศาจทั้งที่ไม่มี เฟร์นันโด ตอร์เรส ตรงนี้ยิ่งเป็นสองแรงบวกนะครับ
ที่ได้เพิ่มมาคือ ความเชื่อมั่นในระบบ หรือคุณภาพของทีมรวมๆ ถ้าใช้ระบบ ใช้แทคติคเอาชนะบิ๊กแมตช์โดยไม่ต้องพึ่งซุปเปอร์สตาร์ แสดงว่ามาตรฐานของทีมพัฒนาขึ้นมาจนเข้มแข็งพอแล้ว
หลังจากทำงานมา 4 ปี ราฟา เบนิเตซ ก็ค้นพบสูตรสำเร็จของตัวเอง
ลิเวอร์พูลแตกต่างจากเชลซี แมนฯยู อาร์เซน่อล ตรงไม่เน้นความสวยงาม ไม่ต้องเล่นให้คลาสสิค แต่บดขยี้ด้วยความแข็งแกร่ง เอาความฟิต ความขยันเป็นพื้นฐานแล้วใส่แทคติคที่เหมาะสมลงไป
เกมเพรสซิ่งบีบพื้นที่ เข้าประกบเร็ว การยืนตำแหน่งคุมพื้นที่แน่นปึ้กคือ จุดเด่นของหงส์แดงมันไม่ใช่การใช้กำลังเข้าสู้แบบทื่อๆ แต่เป็นเรื่องของแทคติคที่ซ้อมมาอย่างดี นักเตะก็รู้งาน รู้บทบาทตัวเองทุกคน
ถ้าจะมีบางจุดที่น่าสงสัยอยู่ ผมว่าลิเวอร์พูลยิงประตูน้อยไปนะครับ ตอนนี้มีแค่ตอร์เรสกับ เจอร์ราร์ด ที่ชัวร์สุด พวก ร็อบบี้ คีน เดิร์ก เคาท์ ไรอัน บาเบิ้ล ยังหวังพึ่งไม่ค่อยได้
ถ้าปรับเกมบุกให้เด็ดกว่านี้ หงส์แดงก็เป็นแชมป์ได้ไม่ยาก