ทีมของ บิ๊กฟิล สโคลารี่ เล่นได้สุดยอดในแมตช์ที่ถูกมองว่า
มีสิทธิเสียแต้ม เนื่องจากขาดตัวหลักไปร่วมครึ่งทีม ไม่มีทั้ง ปีเตอร์ เช็ก แอชลี่ย์ โคล ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ โจ โคล ดิดิเย่ร์ ดอร็กบ้า ส่วน เดโก้ ก็เป็นแค่ตัวสำรองลงมายืดเส้นยืดสายตอนท้ายๆ เท่านั้น
สภาพแหว่งๆ อย่างนี้ น่าจะเปิดโอกาสให้โบโร่เจ้าบ้านขโมยซีน หรือถึงขั้นพลิกล็อคได้เหมือนกัน
แต่เอาเข้าจริง ดันกลายเป็นบอลคนละชั้น ต้อนกันแบบไม่มีทางสู้
นอกจากฟัน 3 แต้มกลับบ้านแล้ว เชลซียังบอกให้รู้ชัดเจนว่า นี่คือ "นิว เชลซี" ที่แตกต่าง อัพเกรดขึ้นมาเหนือกว่ายุค โชเซ่ มูรินโญ่ เห็นๆ
บิ๊กฟิลยิ่งแก่ยิ่งเก๋า จากเมื่อก่อนเป็นกุนซือจอมโวย โหดและออกจะโฉ่งฉ่าง แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นคนละคน นับจากเข้ามาคุมเชลซีเขาก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่สนใจทีมอื่น ไม่มีให้ข่าวโต้กับกุนซือคู่แข่งซักครั้ง
เรื่องนี้ทำให้สื่ออังกฤษผิดหวังสุดสุด แต่ก็เป็นเรื่องดีสำหรับเชลซีที่มีสมาธิเล่นบอลอย่างเดียว และการทำงานในสนามซ้อมก็เข้าเป้าจนสามารถพัฒนาขึ้นมาอีกระดับ
ในยุคมูรินโญ่ สิงโตน้ำเงินครามเล่นเพื่อเอาชนะเข้าว่า
เกมไหนยิงนำ 1-0 ก็แทบจะปิดกล่อง เพราะไม่ยอมเสี่ยงเพิ่ม สีสันเลยไม่ค่อยมี ขณะเดียวกันทีมเวิร์กก็ไม่ค่อยเนียน ไม่ใช่บอลสวยงามตามสเปคซักเท่าไหร่
แต่เมื่อสโคลารี่เข้ามา ทุกอย่างถูกปรับกันใหม่ เล่นบอลจังหวะเดียวมากขึ้น นักเตะไม่ครองบอลนาน รับแล้วจ่าย เกมจึงเคลื่อนที่เร็วและต่อเนื่อง แถมยังแน่นอนกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
อีกจุดที่เด่นมากคือ ความมั่นใจ ไม่ว่าใครถูกส่งลงสนามก็เล่นได้สบาย ไม่เป็นตัวถ่วง แสดงว่าทุกคนถูกหลอมเป็นส่วนหนึ่งของทีม ระบบกับทีมเวิร์กก็ลงตัวอยู่ในระดับเดียวกับทีมอย่าง อาร์เซน่อล, แมนฯยู ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามของเกมมาตลอด
ถ้ามูรินโญ่เป็นคนสร้างพื้นฐานของความสำเร็จ หลุยซ์ เฟลิเป้ สโคลารี่ ก็เข้ามาพัฒนาต่อจนทุกองค์ประกอบทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ผมยังเชื่อว่า
ถ้าจะให้เพอร์เฟ็คต์ เชลซีต้องหากองหน้ามาเพิ่มอีกซักคน ถึงตรงนั้นอย่าว่าแต่แชมป์พรีเมียร์ลีก, แชมป์ยุโรป แชมเปี้ยนส์ลีก ก็ไม่ไกลเกินเอื้อม
ซุปเปอร์ "บิ๊กฟิล" กำลังจะทำให้แฟนๆ เลิกคิดถึง "จ่ามู" ในไม่ช้า