เป็นอีกครั้งที่ทัพนักเตะ "ซามูไร บูล" ดึงให้แฟนบอลชาวไทยตื่นจากภวังค์ จากการบุกมาสอนเชิงถึงถิ่นราชมังคลากีฬาสถาน 2-0 ซึ่งก่อนหน้านั้นเมื่อช่วงต้นปี "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เพิ่งคุมทีม ชุดยู-23 ที่มี "เมสซีเจ" ชนาธิป สรงกระสินธ์ พร้อมผองเพื่อนนำขบวน โดนญี่ปุ่นถล่มเละ 4-0
การปราชัยทั้งสองรุ่น บ่งบอกถึงศักยภาพของทีมชาติไทยในเวทีหัวแถวเอเชียได้เป็นอย่างดี ว่าเรายังเป็นรองมหาอำนาจลูกหนังของทวีปอยู่หลายขุม
ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก แม้ฟุตบอลจะไม่ใช่บัญญัติไตรยางค์ แต่ทุกปัจจัยไม่มีเหลี่ยมไหนที่ส่งให้ "ช้างศึก" เหนือกว่าแม้แต่ด้านเดียว ทั้งประสบการณ์ที่ญี่ปุ่นวางรากฐานมานานกว่า 30 ปี พัฒนาตั้งแต่ลีกรากหญ้าจนถึงระดับชาติอย่างมีระบบ ผ่านการไปฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายมาแล้ว 5 สมัยติด มีผู้เล่นส่งออกค้าแข้งในลีกยุโรปนับร้อยราย ส่วน "ช้างศึก" เพิ่งจะได้ลุ้นไปบอลโลกจริงจังเป็นครั้งที่สองเท่านั้น
การบ้านที่ต้องคิดจากนี้คือจะทำอย่างไรให้ขึ้นไปอยู่บนจุดที่ใกล้เคียงที่สุดกับความฝันที่หวังไว้ ซึ่งใช่ว่าจะไม่มีโอกาส เพราะแม้จะสู้ญี่ปุ่นหรือออสเตรเลียไม่ได้ แต่ทีมในโซนอาหรับยังพอมีลุ้น
สถานการณ์ตอนนี้น่าจะบ่งบอกได้ชัดเจนแล้วว่า "ออสซี่" ที่โชว์ฟอร์มแข็งแกร่งสมราคา คือทีมที่จองการเข้ารอบไปแล้ว 1 โควตา ส่วนอีกที่นั่งหากไม่มีเหตุผิดพลาดคงหนีไม่พ้นญี่ปุ่นที่เริ่มคืนฟอร์มเก่งขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงเหลือตั๋วใบสุดท้าย โควตาอันดับ 3 สำหรับเพลย์ออฟ ที่ไทยต้องแย่งชิงกับทีมจากโซนตะวันออกกลางอีก 3 ทีม
8 เกมที่เหลือ หากไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป มีโอกาสสูงที่ไทยจะไร้แต้มจากเกมเยือนญี่ปุ่น และเกมกับออสเตรเลียทั้งสองนัด เท่ากับว่าจะมีแต้มเต็มเหลือให้เก็บอีกเพียง 15 คะแนน จากเกมในบ้านกับ ซาอุดิอาระเบีย และเหย้า-เยือน ยูเออี กับอิรัก
ก่อนหน้านี้ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง แสดงให้เห็นแล้วว่าสามารถคุมทีมต่อกรกับชาติโซนนี้ได้อย่างสูสี แม้จะแพ้แต่ก็หวุดหวิด ทั้งในรายการ เอเชียนเกมส์ 2014 ที่ชนะ จอร์แดน 2-0 ก่อนพ่ายอิรัก 0-1 , ยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย 2016 เสมอ ซาอุฯ 1-1 , ศึกคิงส์ คัพ ครั้งที่ 44 ชนะจุดโทษซีเรีย 7-6 (2-2) ต่อด้วยชนะ จอร์แดน 2-0 ตลอดจนเกมอุ่นเครื่องที่เสมอ บาห์เรน 1-1 หรือล่าสุดในรายการนี้ที่ยันเสมอ อิรัก ได้สองนัดด้วยสกอร์ 2-2 และแพ้ ซาอุฯ อย่างชอกช้ำ 0-1
นี่คือเครื่องการันตีถึงพัฒนาการของลูกหนังไทย เมื่อได้ลับคมต่อเนื่อง จากเดิมที่เป็นฝ่ายโดนไล่ต้อน ก็ขยับขึ้นมาเสมอ และชนะได้ในที่สุด ดังนั้นความหวังที่เหลืออยู่ในการศึกครั้งนี้คือมุ่งหน้าเดินเครื่องเก็บแต้มจากทีมเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด
วันนี้ต้องยอมรับความจริงว่าเรายังไม่ดีพอที่จะติดท็อป 4 ของเอเชีย คว้าโควตาไปฟุตบอลโลกโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าเป็นอันดับ 5 ยังพอที่จะมีลุ้น
ที่มา : Posttoday.com