ในสมัยที่เขาเข้ามาคุมทัพสเปอร์สในเดือนตุลาคม ปี 2008 ก่อนหน้านั้นทีมไก่เดือยทองสามารถเก็บได้เพียง 2 คะแนนเท่านั้นจากการลงสนาม 8 นัด ซึ่งในตอนนั้น แกเร็ธ เบล ก็ได้พูดถึงเร้ดแน็ปป์ว่า "ความอยากชนะมันมีกันทุกคนแหละ แต่ผมคิดว่าเร้ดแน็ปป์เป็นกุนซือที่กระตุ้นได้ยอดเยี่ยมเลยล่ะ เขาทำให้เรามีความมั่นใจและความกระตือรือร้นในการลงเล่น" นอกจากนี้ เลดลีย์ คิง กัปตันทีมของสเปอร์สยังกล่าวอีกว่า "เร้ดแน็ปป์ช่วยทำให้พวกเรารู้อีกครั้งว่า การเล่นฟุตบอลคือความสนุกอย่างหนึ่ง"
ทว่าสำหรับฟุตบอลทีมชาติ ครั้งล่าสุดที่นักเตะทีมสิงโตคำรามอยากรับใช้ทีมชาติ แทนที่จะเลือกไปรักษารากฟันนั้น มันคือเมื่อไหร่? เพราะจริงๆ แล้ว สิ่งนี้มันไม่ควรเกิดขึ้น และน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงได้แล้ว
ยอดกุนซือของนักเตะ
ครั้งหนึ่งเร้ดแน็ปป์เคยกล่าวไว้ว่า "คุณอาจจะเถียงกันเรื่องแผนการเล่น แทคติก หรืออะไรก็ตามได้ตลอดไป แต่สำหรับผม ฟุตบอลมันเป็นเรื่องของนักเตะ"
ถึงแม้ว่ากุนซือวัย 69 ปี จะเคยกล่าวว่า "ผมไม่ใช่พวกกุนซือจอมแทคติกนะ" แต่ในตอนที่เจ้าตัวคุมทัพไก่เดือยทอง เขาก็ได้ปรับเปลี่ยนแผนการเล่นไปพอสมควร จนสามารถรู้ถึงความสามารถที่ซ่อนอยู่ของ เบล, ลูก้า โมดริช และ ราฟาเอล ฟาน เดอ ฟาร์ท ออกมาได้ ซึ่งดาวเตะเลือดดัตช์รายนี้ก็เคยพูดถึงเร้ดเน็ปป์ว่า "เขาไม่เคยใช้ไวท์บอร์ดหรือเลคเชอร์กับพวกนักเตะเลย ซึ่งพวกนี้มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมและเพื่อนๆ เบื่อมากๆ ตอนที่อยู่เรอัล มาดริด"
ดังนั้นมันจึงไม่แปลกอะไรถ้าจะบอกว่า กุนแจสำคัญของเร้ดแน็ปป์ก็คือการกระตุ้นลูกทีม ซึ่งบรรดานักเตะหัวแข็งหลายๆ คน อย่าง เปาโล ดิ คานิโอ (เวสต์แฮม), พอล เมอร์สัน (พอร์ทสมัธ) และเอ็มมานูเอล อเดบายอร์ (สเปอร์ส) ต่างยอมรับว่า พวกเขาเล่นได้ดีที่สุดในอาชีพค้าแข้งภายใต้การคุมทีมของกุนซือรายนี้
ด้วยเหตุนี้ เร้ดแน็ปป์จึงเป็นคนที่เหมาะสมมากๆ ที่จะเข้ามาปลุกวิญญาณเพชฌฆาตของ แฮร์รี่ เคน และ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่ดูจะหายไปในศึกยูโร 2016 ที่ผ่านมา รวมทั้งกระตุ้นบรรดาลูกทีมอีโก้สูงในห้องแต่งตัวของทีมชาติอังกฤษด้วย