หงิก!สิงโตเครื่องไหม้พ่ายตราไก่1-0

หงิก!สิงโตเครื่องไหม้พ่ายตราไก่1-0

จุดโทษของ"หน้าบาก"ฟร็องค์ ริเบอรี่ในครึ่งแรกกลายเป็นประตูชัยให้ฝรั่งเศสเปิดบ้านเบียดเอาชนะอังกฤษภายใต้การนำของฟาบิโอ คาเปลโล่หวุดหวิด 1-0 ทำให้"สิงโตคำราม"ไม่มาชนะที่นี่ 60 ปีแต่เดวิด เบ็คแฮมฉลอง 100 นัดยิ้มกริ่มกันไป

บรรยายเกมโดยลูกแม่กิ่ง

ผลฟุตบอลกระชับมิตร

ฝรั่งเศส 1-0 อังกฤษ

สนาม :
สต๊าด เดอ ฟรองซ์, แซงต์ เดอ นีส์

ประตู : 1-0 ฟรองก์ ริเบรี่ น.32 (จุดโทษ)

เกมนัดกระชับมิตรระดับบิ๊กแมตช์ระหว่างสองชาติคู่ปรับ ฝรั่งเศส และอังกฤษ นัดนี้เล่นในสนามสต๊าด เดอ ฟรองซ์ โดยเป็นการกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากนัดสุดท้ายเจอกันในศึกยูโร 2004 ที่ซีเนอดีน ซีดาน โชว์ฟอร์มยิงประตูชัยให้ทีมเลส์ เบลอส์ มีชัยไปในนัดนั้น

นัดนี้เรย์มงด์ โดเมอเน็ค กุนซือหมอดูส่งดาวิด เทรเซเกต์ ศูนย์หน้าที่เคยมีปัญหาหมางเมินกันลงเป็นตัวจริงหลังเรียกตัวกลับมาแทนคาริม เบนเซม่า หัวหอกดาวรุ่งที่ได้รับบาดเจ็บ โดยจับคู่กับนิโกล่าส์ อเนลก้า ในแดนหน้า

ขณะที่อังกฤษ ฟาบิโอ คาเปลโล่ คุมทีมลงเล่นนัดที่ 2 โดยให้เกียรติเดวิด เบ็คแฮม อดีตกัปตันทีมได้ลงสนามเป็นตัวจริงในเกมนัดที่ 100 ของเจ้าพ่อลูกนิ่ง ขณะที่ริโอ เฟอร์ดินันด์ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมแทนจอห์น เทอร์รี่ และสตีเฟ่น เจอร์ราร์ด ส่วนในแดหน้าทิ้งเวย์น รูนี่ย์ไว้คนเดียวอีกครั้งในระบบ 4-2-3-1

เริ่มต้นเกมมาทางด้านเจ้าถิ่นฝรั่งเศส เป็นฝ่ายที่เริ่มต้นได้ดีกว่าเล็กน้อย โดยได้จังหวะทักทายก่อนในนาทีที่ 9 จากจังหวะลูกฟรีคิก ริเบรี่ เปิดโค้งมากลางประตู อเนลก้า หนีการประกบของเทอร์รี่ เพือนร่วมทีมเชลซีด้วยกันก่อนขึ้นโหม่งหลุดกรอบออกไปไม่ไกลนัก

จากนั้นอเนลก้า ได้มีจังหวะพลิกตัวยิงหน้ากรอบเขตโทษ แต่ก็เบาเกินกว่าจะเล่นงานเดวิด เจมส์ เพื่อนเก่าที่ได้กลับมาเป็นมือหนึ่งทีมชาติอังกฤษอีกครั้งได้

ทีมสิงโตคำรามมีปัญหาในการเซ็ตเกมอยู่พักใหญ่ แต่ก็ค่อยๆทำได้ดีขึ้นเมื่อพ้น 20 นาทีแรกไปแล้ว และมาเริ่มมีจังหวะสร้างความกดดันได้บ้างเมื่อเจอร์ราร์ด ได้บอลจากรูนี่ย์ก่อนจะควบบอลมาถึงระยะ 25 หลา แต่ยิงข้ามคานออกไปเยอะ

เจอร์ราร์ด มีจังหวะอีกครั้งเมื่อได้พุ่งโขกจากลูกที่เฟอร์ดินันด์ โขกย้อนกลับมาจากเสาไกลแต่เลยเพื่อนไปหมด แต่มิดฟิลด์ไดนาโมก็โขกกดไม่ลง ลูกข้ามคานไปเยอะ

แต่แล้วถึงนาทีที่ 31 อังกฤษก็เสียท่าจนได้ เมื่ออเนลก้า โชว์สัญชาติญาณยอดศูนย์หน้า ชิงจังหวะสปีดหนีเทอร์รี่ เข้าไปรับบอลแทงทะลุช่องจากริเบรี่ และแตะหลบเจมส์ ที่อ่านเกมพลาดจะรับเข้าซองจนกลายเป็นการฟาวล์ไป ผู้ตัดสินชี้ไปที่จุดโทษและเป็นริเบรี่ ที่อาสาสังหารเข้าไปอย่างเหนือชั้นให้ฝรั่งเศสขึ้นนำ 1-0

จากนั้นในช่วง 15 นาทีสุดท้ายของครึ่งแรก เจ้าถิ่นก็เล่นประคองตัวไปเรื่อยๆ ขณะที่อังกฤษเกมรุกยังดูทื่อๆไม่มีวี่แววว่าจะตีเสมอได้เลย ก็เลยต้องยอมตามหลังไปก่อนเมื่อครบ 45 นาที

ครึ่งหลัง คาเปลโล่ ปรับแผนให้อังกฤษมาใช้ระบบ 4-4-2 ตามปกติ โดยส่งปีเตอร์ เคราช์, ไมเคิล โอเว่น, สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง และโจเลียน เลสค็อตต์ ลงสนามมาแทนรูนี่ย์, เจอร์ราร์ด, โจ โคล และเทอร์รี่ ซึ่งรายสุดท้ายมีอาการบาดเจ็บเล็กน้อยที่กล้ามเนื้อหลังโคนขา

แต่ดูเหมือนการแก้เกมของกุนซือชาวอิตาเลียน จะไม่ได้ผลเท่าไหร่ เพราะรูปเกมของอังกฤษไม่ได้ดีขึ้นเลย ไม่สามารถเปิดเกมรุกกดดันฝรั่งเศสได้ถนัดถนี่นัก ก่อนจะมีการเปลี่ยนเอาเดวิด เบ็คแฮม ออกมาพักในนาทีที่ 63 ให้เดวิด เบนท์ลี่ย์ ลงสนามมาแทน

ท่ามกลางรูปเกมที่เงียบเชียบ นานๆครั้งจึงจะมีโอกาสได้ง้างเท้ายิงกันสักครั้ง ซึ่งฝ่ายที่ได้ง้างเท้ามากกว่าก็ยังเป็นทางเจ้าถิ่นเลส์ เบลอส์ ที่ยังมีโอกาสจากอเนลก้า และริเบรี่ สองตัวรุกที่เล่นกันได้ดีในเกมนัดนี้

โดเมอเน็ค ลองเปลี่ยนตัวรุกอย่างเทรเซเกต์และอเนลก้าออกโดยให้ซิดเนย์ โกวู และฌิบริล ซิสเซ่ได้ลงสนามมาบ้าง แต่ก็ไม่ทำให้เกมของเลส์ เบลอส์ สะดุดแต่อย่างใด

ริเบรี่ ยังคงทำเกมกันได้และฝรั่งเศสก็มีจังหวะโต้กลับสวยๆหลายช็อต โดยเฉพาะจังหวะของซิสเซ่ที่โชว์สปีด จิ้มบอลหนีจอห์นสันไปดื้อๆก่อนจะดีดด้วยหลังเท้าด้านนอกแต่ลูกเข้าหน้าต่างอย่างน่าเสียดาย ก่อนจะไม่มีใครทำอะไรกันได้อีก "เลส์ เบลอส์" เฉือนชนะไปแบบไม่เหนื่อยนักด้วยสกอร์ 1-0


รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

ฝรั่งเศส :
เกรกอรี่ กูเปต์, ฟรองซัวส์ แกลร์ก, ลิลิยอง ตูราม, วิลเลี่ยม กัลลาส, เอริค อบิดัล, ฟรองก์ ริเบรี่, เฌเรมี่ ตูลาลอง, โคล้ด มาเกเลเล่, ฟลอร็องต์ มาลูด้า, ดาวิด เทรเซเกต์ (ซิดเนย์ โกวู น.64) , นิโกล่าส์ อเนลก้า (ฌิบริล ซิสเซ่ น.81)

ใบเหลือง : ริเบรี่ น.32

อังกฤษ : เดวิด เจมส์, เวส บราวน์ (เกล็น จอห์นสัน น.63) , ริโอ เฟอร์ดินันด์, จอห์น เทอร์รี่ (โจเลียน เลสคอตต์ น.46) , แอชลี่ย์ โคล, โอเว่น ฮาร์กรีฟส์, แกเร็ธ แบร์รี่, เดวิด เบ็คแฮม (เดวิด เบนท์ลี่ย์ น.46) , สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด (ปีเตอร์ เคราช์ น.46) , โจ โคล (สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง น.46), เวย์น รูนี่ย์ (ไมเคิล โอเว่น น.46)

ใบเหลือง : เบ็คแฮม น.38

ผู้ตัดสิน : ฟลอเรียน เมเยอร์ (เยอรมัน)




































 


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: lentee

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์