แอลเอสดี หรือกระดาษเมาชื่ออื่น กระดาษมหัศจรรย์ ( magic paper ) LSD (lysergic acid diethylamide)
ตัวอย่างที่ 1
นักศึกษาหญิงอายุ 19 ปี ภายหลังเสพแอลเอสดีได้ 10 นาที มีอารมณ์รื่นเริงสนุกสนานสลัลกับอารมณ์เศร้า หัวเราะและร้องไห้ รู้สึกกังวลและหวาดกลัว อารมณ์เปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็วมองเห็นรูปภาพบนฝาผนังมีสีสันคมชัด แดงจัด เขียวจัดและเหลืองจ้าเหมือนฟ้าสีทอง มองเห็นภาพลอยได้ แจกันและดอกไม้มีขนาดมหึมาได้ยินเสียงเพลงจากวิทยุแต่กลับเห็นภาพโน้ตดนตรีแทน กระวนกระวาย หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น เหงื่อออกท่วมตัว ม่านตาขยายและเสียการทรงตัว เดินเซ
ตัวอย่างที่ 2
เลขานุการิณี อายุ 21 ปี เสพแอลเอสดีโดยละลายในเครื่องดื่ม เกิดอาการภาพหลอน เห็นวัตถุสิ่งของรูปทรงต่างๆ เช่น วงกลม สามเหลี่ยมและสี่เหลี่ยม สีเขียว แดง ฟ้า และเหลืองเป็นประกายระยิบระยับ เห็นตุ๊กตาแก้วเคลื่อนไหวเป็นทางยาว นอนไม่หลับและฝันร้ายเกี่ยวกับเหตุการณ์ร้ายแรง เมื่อได้รับการรักษาผู้ป่วยเป็นปกติอยู่นาน 2 สัปดาห์ ต่อจากนั้นเริ่มฝันน่ากลัวอีก เห็นภาพการแทงกันและอาบไปด้วยเลือด ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในภาพยนตร์ซึ่งได้ไปดูมาขณะเสพยา นอกจากนี้ยังมีภาพหลอนน่ากลัวขณะที่กำลังจะตื่น ในเวลาต่อมาผู้ป่วยมีอาการซึมเศร้าอย่างมากร่วมกับความรู้สึกกระวนกระวาย และมีหูแว่วว่ามีคนจะมาทำร้าย ต้องให้การรักษาด้วย ช๊อคไฟฟ้า อาการของผู้ป่วยจึงเป็นปกติ
ประวัติ
ในปี ค.ศ. 1960 ทิโมที แลรี่ นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดได้ทดลองเสพสารแอลเอสดี และเสนอผลการเสพสารแอลเอสดีไว้ดังนี้
- ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นสุขทันที
- มีความคิดสร้างสรรค์ทางด้านดนตรีและศิลปะ
- เพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนและการทำงาน
- เพิ่มความไวของประสาทการรับรู้
ในระยะแรกได้มีการใช้สารนี้ในกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย ผู้เสพในมัยนั้นอายุ มากกว่าในปัจจุบัน โดยมีอายุเฉลี่ยเท่ากับ 21 ปี ต่อมาได้มีการเสพกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากหาซื้อง่ายเพราะมีขายกันทั่วไป กลุ่มผู้เสพที่สำคัญคือ นักดนตรี นักดนตรีร็อค พวกฮิปปี้และบุปผาชน (flower children) ได้มีงานรื่นเริงฉลองการเสพแอลเอสดีอย่างเอิกเกริกและยิ่งใหญ่ เช่น งานฉลองฤดูร้อนแห่งความรัก (summer love) ที่มลรัฐซานฟรานซิสโก
ในเวลาต่อมาสารแอลเอสดีได้แพร่ระบาดเข้าไปในกลุ่มวัยรุ่น และในทุกกลุ่มชนชั้นโดยเฉพาะชนชั้นกลางและร่ำรวย เด็กวัยรุ่นในกลุ่มเสพประท้วงรัฐบาลในการทำสงครามกับเวียดนาม ขอเพิ่มสิทธิมนุษยชนและอิสระในการพูดและแสดงความคิดเห็น : ในระยะหลังๆ ผู้เสพแอลเอสดีได้ใช้สารเสพย์ติดชนิดอื่นร่วมด้วย เช่น กัญชา แอมเฟทามิน หรือเฮโรอีน ทำให้การเสพสารนี้กลายเป็นปัญหาระดับชาติที่สำคัญ ร่วมกับปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาเกี่ยวกับสงครามในเวียดนาม จึงได้มีการรณรงค์ต่อต้านยาเสพย์ติดครั้งยิ่งใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกา และได้มีการตั้งองค์กรเรียกสถาบันศึกาษาเรื่องยาเสพย์ติดแห่งชาติ * ในปัจจุบันสารแอลเอสดี เฮโรอีนและกัญชาจัดว่าเป็นยาเสพย์ติดต้องห้ามลำดับที่ 1 ของประเทศสหรัฐอเมริการ *
การแพร่ระบาด
*การเสพสารนี้ในประเทศไทยพบได้ในกลุ่มวัยรุ่นและนักศึกษา* ในประเทศสหรัฐอเมริกา ปี ค.ศ. 1992 มีการเสพสารนี้ในเด็กนักเรียนชั้นมะยมและผู้ใหญ่ตอนต้นเพิ่มมากขึ้น ในปี ค.ศ. 1994 พบว่าร้อยละ 7 ของเด็กนักเรียนโรงเรียนมัธยมร้อยละ 5 ของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเสพสารนี้ และจากงานวิจัยของมหาวิทยาลับทูเลน พบว่าเด็กนักเรียนที่เคยเสพสารนี้มีถึงร้อยละ 7
รูปแบบของสาร แอลเอสดีเป็นสารหลอนประสาทที่มีฤทธิ์แรงที่สุด การเสพเพียงขนาด 20 ไมโครกรัม หรือ 0.02 มิลลิกรัม ก็ทำให้เกิดความผิดปกติได้โดยทั่วไปสารแอลเอสดีที่ขายตามท้องตลาดมีขนาด 50 – 300 ไมโครกรัม ( .05 – 0.3 ) และได้รับการผลิตออกมาหลายรูปแบบ เช่น ยาเม็ด กระดาษซับและแสตมป์ เรียกว่า กระดาษมหัศจรรย์ ( magic paper ) กระดาษนรกหรือกระดาษเมา ทั้งนี้เพื่อสะดวกในการพกพาและหลบซ่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจ
อาการ
แอลเอสดีเป็นสารหลอนประสาท มีผลต่ออารมณ์ จิตใจและพฤติกรรมดังต่อไปนี้
- มีอารมณ์รื่นเริงสนุกสนาน
- อารมณ์เปลี่ยนแปลงเร็ว เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้
- อาจเกิดความกลัวอย่างรุนแรง เช่น กลัววิกลจริต กลัวตาย
- เห็นภาพคมชัดผิดปกติ เช่น มีสีสันกว่าธรรมดา หรือเป็นประกายสวยงาม
- ได้ยินเสียงแต่เห็นเป็นภาพแทน เช่น ได้ยินเสียงดนตรีแต่เห็นเป็นภาพโน้ตเพลง
- ภาพหลอนที่เห็นมักมีรูปทรงเรขาคณิต เช่น วงกลม สามเหลี่ยมและสี่เหลี่ยม
- หัวใจเต้นเร็ว มีไข้ และความดันโลหิตสูง
อนึ่งอาการดังกล่าวอาจปรากฎให้เห็นซ้ำอีกได้ แม้ไม่ได้เสพสารแล้ว โดยจะปรากฎเป็นพัก ๆ และอาจทำให้เกิดขึ้นได้เอง เช่น โดยการนึกคิดหรือถูกกระตุ้นโดยเข้าไปอยู่ในที่มืด และอาจมีอาการอยู่นานเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี เรียกลักษณะเช่นนี้ว่า “ ปรากฏการณ์ซ้ำ “ หรือ flashback
อันตรายและพิษของสาร
- อาจเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เนื่องจากผู้ป่วยคิดว่าตน “บิน” ได้ จึงกระโดลงมาจากตึกสูง
- อาจได้รับบาดเจ็บจากการทะเลาะวิวาทกับผู้อื่น เนื่องจากผู้ป่วยมีความผิดปกติของการรับรู้ การตัดสินใจเสีย
|