โหวต 0 คน
มกราคม 2007 (1) เสียงกลองระรัวและเครื่องเคาะจังหวะกระหึ่มเร้า สลับกับเสียง พร่ำสวด ฮาเร กริชชานา ฮาเร กริชชานา ทำให้ฉันรีบสาว เท้าไปยังแหล่งเกิดของเสียง เสียงรัวกลอง เสียงฉาบ ยิ่งดังขึ้น ทุกขณะเมื่อเดินเข้าสู่ถนน Haight ทันใดนั้น ภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็ กระจ่างจ้ายิ่งกว่าแสงแห่งตะวันพันดวง สาวกพระกฤษณะภาคฮิปปี้กำลัง เริงร้องและร่ายรำไปตามถนนสายนั้นอย่างบันเทิง หนุ่มสาวใส่ชุดแขกสีเหลืองมีตัวอักขระอินเดียสีแดง สาวกชาย โกนหัวโล้น แต่ไว้ผมกระจุกเป็นหางหนูตรงท้ายทอย แต่งแต้มหน้าตา และเนื้อตัวเหมือนหลุดออกมาจากแดนชมพูทวีป หากแต่สาวกทุกคน จมูกโด่ง และตาสีฟ้าแทบทั้งสิ้น ต่างล้วนยักย้ายท่วงท่ากวัดแกว่งมาลัย ดอกไม้สีสดไปตามเสียงกลองและฉาบอย่างเมามัน Hare krishna, Hare Krisshanaaaaaaaaaaaaaaa สาวกชายร้อง สรรเสริญพระกฤษณะเสียงสูงปริ๊ด พลางกระหน่ำรัวกลองไม่ยั้ง สาวก หญิงร่ายรำพลางโปรยดอกไม้ในมือ ฉันได้กลิ่นความสนุกลอยมาจางๆ เลยทรุดตัวลงนั่งริมถนน ข้างฮิปปี้คราวป้า วัยประมาณหกสิบที่กำลังนั่งตา ฉ่ำเยิ้มเพราะบุหรี่สมุนไพรในมือเจ้าหล่อน ฉันส่งยิ้มให้อย่างว่องไว เพราะยังไม่อยากเจอฮิปปี้ถีบคว่ำ กลางถนนหล่อนยิ้มตาปรือกลับมาให้ พลางแนะนำตัวว่า ชื่อ โลตัส (Lotus) เมื่อเห็นกะเหรี่ยงจากเมืองไทยทำหน้าพิกล หล่อนก็หัวเราะลั่น บอกต่อว่า ชื่อฮิปปี้ของไอน่ะ ชื่อจริงไอชื่อ แครอล นีลูกชายไอเอง ชื่อ สันติ ( Shanti) ว่าแล้วก็เบี่ยงไหล่ให้หนุ่มวัยยี่สิบปี หน้าฝรั่งแต่ชื่อ แขกนามสันติ หันมายิ้มทักทาย ฉันยิ้มขำๆ ไพล่ไปนึกถึงนักร้องลูกทุ่ง ไทยที่ชื่อ สันติ ดวงสว่างเลยทักทายสองแม่ลูกฮิปปี้ไปตามมารยาท
น่าเวียนหัว แม่ดอกบัวโลตัสประดับประดากำไลรุงรังไปทั้งแขน ขยับตัว มาคุยกับฉันทีไร พาลให้นึกถึงกระพรวนแมวทุกครั้ง หล่อนดูดยาสืดหนึ่ง หันมาถามอีกว่า มาจากไหน . พอเอ่ยชื่อประเทศอันเป็นที่รักยิ่งเท่านั้น สองแม่ลูกยิ้มกว้าง เออประเทศยูนี่ กัญชาดีที่สุดในโลกเว้ย ว่าแล้วก็ถามต่อทันที ว่าแต่ยูมีไอ้เบอร์สี่ติดตัวมาบ้างไหม ฉันหัวเราะบอกว่า ไม่มีหรอก จริงๆ ไอมาจากรัฐอินเดียน่านี่เอง ส่วนเมืองไทยน่ะ เป็นประเทศแม่ อีกอย่าง ไอเลิกดูดยามานานแล้ว มีแต่บุหรี่ไทย สนใจไหม ว่าแล้วฉัน ก็โยนซองบุหรี่กรองทิพย์ที่พกเอาไว้ผูกมิตรติด กระเป๋ามาจากเมืองไทยให้สองแม่ลูก จากนั้น มิตรภาพง่ายๆ ก็เริ่มต้น ระหว่างอดีตฮิปปี้จากเมืองไทยและสองแม่ลูกฮิปปี้ที่ซานฟรานซิสโก . เมื่อรู้ว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมาเยี่ยมรังฮิปปี้ที่ซานฟรานซิสโก โลตัสกับสันติก็อาสาพาฉันเดินเที่ยวละแวกนั้น คาดว่า คงถือคติ ฮิปปี้ทั้งผองพี่น้องกัน เพราะถนนสาย Haight-Ashbury นั้นเป็นทั้ง บ้านของหล่อนและแหล่งซ่องสุมของบรรดาฮิปปี้มาตั้งแต่ปี 1960s . อีกอย่าง โลตัสก็ว่างงานไม่มีอะไรจะทำ เลี้ยงตัวเองด้วยเงิน สวัสดิการจากรัฐ บอกตรงๆ ว่า ฮิปปี้ที่นี่ กินดีอยู่ดีกว่าคนที่มีงานทำ เสียอีก ได้เงินสวัสดิการจากรัฐ มาจ่ายค่าเช่าบ้านและอาหารการกิน คาดว่าคงเพราะว่างงานและเบื่อๆ เลยอาสาพากะเหรี่ยงจากเมือง ไทยเดินเที่ยวบ้านตัวเอง เผลอๆ อาจจะหวังกัญชาเบอร์สี่อย่างดีจากเมือง ไทย ใครจะไปรู้ . เราเข้าไปในร้านขายของที่ระลึก พลันต้องตระการใจไปกับ บ้องกัญชา (Bong) หลากสี หลายสไตล์ ทั้งเล็กใหญ่ในราคามิตรภาพ มีทั้งแบบสีรุ้งและแบบสีพื้น เลือกได้ตามรสนิยมคนพี้ เนื้อ หรือที่คนแถวนี้ นิยมเรียกว่า Pot หรือ Weed อีกทั้งยังมีชื่อเล่นน่ารักอย่างสุดซึ้งว่า Mary Jane . โลตัสนั้นเขม้นมองบ้องกัญชาหลากสีสลับกับจ้องหน้าฉัน อย่างคาดหวัง เพราะฉันเล่าว่า คนไทยที่เมืองไทยนิยมบ้องปัญชาไม้ ไผ่ บางคนก็ประดับเหรียญกล้าหาญแพรวพราว หรือไม่รุ่นหลังๆ มา ก็นิยมขวดแฟซ่า หรือขวดแชมพูมาแจาะรู ทำบ้องกัญชา แต่สะดวกสุด ก็เห็นจะเป็นเอามายำยัดไส้บุหรี่อย่างที่เราเรียกว่า พันลำ แม่ดอกบัว หัวร่อลั่น ตบหลังตบไหล่ พลางว่า ส่วนมากพวกไอก็ดูดพันลำนี่แหละ เสียอย่างเดียว กัญชาจากบ้านยูนี่แพงบรรลัย เลยต้องหันไปใช้กัญชาจาก อเมริกาใต้แทน
หรือบุหรี่กานพลูรสหวานปะแล่มที่เคยชื่นชอบสมัยเรียนมหาวิทยาลัย มาดูดแก้หนาว และเช่นเคย ฉันแบ่งให้โลตัสกับสันติด้วยเป็นการตบราง วัล นางฮิปปี้เฒ่ายิ้มพยักเพยิดขอบใจ คงชัดเจนแล้วว่า ฉันเป็นพันธุ์หมา บ้ามาแต่เดิมเหมือนกัน เพราะจะมีแต่ฮิปปี้เท่านั้นแหละ ที่ชอบบุหรี่ชนิดนี้ สันติขอแยกไปหาเพื่อน เหลือแต่ ฉันกับโลตัสเดินดูดบุหรี่ควันอ้อยอิ่ง ทอดอารมณ์ไปบนถนนสายบุปผาชน Haight-Ashbury แห่งนี้ . .Z(( ( (2) “ในลมหายใจอบอวลกัญชา แอลเอสดี และกระหรี่ (ผง) ศีลหลายข้อกำหนดว่าฮิปปี้เป็นศัตรูกับความเจริญทางวัตถุ การต่อ ต้านความละโมบและความอิจฉาริษยาอาฆาต และการเร่งเร้าเพื่อเกื้อ กูลเพื่อนมนุษย์ในโลก การปฏิเสธความฟุ้งเฟ้อ รวมทั้งความสะอาดและ ความเรียบร้อย (มารยาท) การเป็นซ้าย (ใหม่) การไม่ตัดสินด้วยความ รุนแรงแต่รักสงบ การนอบน้อมถ่อมตนและเทิดทูนความเป็นเพื่อน การเป็นปรปักษ์กับงานโดยประท้วงด้วยความขี้เกียจ...การนำตนเข้า ถึงเสรีภาพแห่งความรักและกามารมณ์ ฯลฯ” (บางถ้อยอารมณ์ จาก หลงกลิ่นกัญชา : ‘รงค์ วงษ์สวรรค์) นั่นเป็นนิยามจากนักเขียนผู้หลงกลิ่นกัญชา คุณรงค์ วงษ์สวรรค์ แต่คงจะไม่ง่ายนัก หากจะนิยามความเป็น ฮิปปี้ ได้อย่างครอบคลุม บางใครให้นิยามไว้เสร็จสรรพแล้วว่า บุปผาชน เป็นชื่อที่น่ารักน่าเอ็นดูสำหรับคนที่มีรสนิยมแบบทวนกระแสสังคม แต่สำหรับกลุ่มอนุรักษ์นิยมแล้ว ฮิปปี้ถือเป็นตัวอันตรายที่นรกส่งมาเกิด เลยทีเดียว . ไม่ว่าใครจะมองกลุ่มชนขบถนี้อย่างไรก็ตาม ความหมาย โดยรวมของวัฒนธรรมแบบฮิปปี้ คือ วัฒนธรรมทวนกระแสที่เกิด มาจากการเคลื่อนไหวของคนหนุ่มสาวในสหรัฐอเมริกาช่วงต้นทศวรรษ 1960 และแพร่วัฒนธรรมนี้ไปทั่วโลก . คำว่าฮิปปี้ มาจาก ฮิปสเตอร์ (hipster) ใช้ในการอธิบายถึงพวก ที่ทำตัวต่างจากคนส่วนมากในสังคม . ฮิปปี้ในซานฟรานซิสโก ย่าน Haight-Ashbury ได้รับสืบทอด วัฒนธรรมแปลกแยกนี้จากพวก Beat Generation เกิดสังคมทวน กระแส ซึ่งปฏิเสธค่านิยมของสังคม ฟังเพลงจำพวกไซเคเดลิกร็อก ปฏิวัติเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ และเสพยาอย่างกัญชาและแอล เอสดี . ปี 1967 ในซานฟรานซิสโก ฮิปปี้รวมตัวกันจัด Summer of Love ทางฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา และจัดเทศกาล Woodstock ในปี 1969 ทางฝั่งตะวันออก ส่วนในเม็กซิโกมีการเริ่ม La Onda Chicana ที่ Avándaro . . แฟชั่นฮิปปี้แทรกซึมเข้าไปมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมหลัก และมีอิทธิพลต่อดนตรีป็อบ แวดวงบันเทิงทั้งโทรทัศน์และภาพยนตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานเขียนและศิลปะ จิปาถะไปตั้งแต่อาหารเพื่อสุขภาพ เพราะกลุ่มฮิปปี้เน้นอาหารมังสวิรัติเป็นหลัก นอกจากนี้ ยังเน้นการมีเพศ สัมพันธ์แบบไม่ยึดติด . ในประเทศไทยเรียกฮิปปี้ว่าบุปผาชน โดยอธิบายไว้ว่า เป็นพวก ที่รักอิสระเสรีภาพมีการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย การแต่งกายไม่ภูมิฐาน ฟุ้งเฟ้อหรือยึดติดกับสิ่งของราคาแพงและค่านิยมของสังคม . นี่คงเป็นภาพรวมกว้างๆ ของกลุ่มบุปผาชน หากว่า อยาก จะเข้าใจรากเหง้าและกำเนิดบุปผาชนอย่างแท้จริงแล้ว คงจะต้อง ย้อนกลับไปสู่ยุค Beat Generation คือ ประมาณ 1950s-1960s . . ที่มารวมตัวกันในปลายทศวรรษ 1950s ต่อเนื่องไปจนถึงปี 1960s เป็นกลุ่มนักเขียนที่มีส่วนผลักดันและสำคัญยิ่งต่อแวดวงวรรณกรรมอเมริกัน ภายหลัง นักเขียนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า Beatniks
รวมบทกวี Howl ของ Allen Ginsberg (1956) , Nake Lunch (1959) ของ William S. Burroughs และ On the Road (1957) ของ Jack Kerouac ทั้งสามเล่มนี้เป็นเหมือนคัมภีร์หลักแห่ง Beat Generation เลยก็ว่าได้ ขึ้นเพื่อเอาไว้เรียกกลุ่มนักเขียนที่ขบถต่อสังคม ไม่ยอมโอนอ่อนตาม สังคมอย่างเชื่องๆ เหมือนคนในยุคนั้นที่ทำทุกอย่างตามกระแสสังคม โดยเอาคำมาจากนวนิยายของ John Clellon Holmes เรื่อง GO มาใช้เรียกกลุ่มตนเอง . . ทั้งคำเรียกกลุ่มพวกหัวขโมย ขี้ยา และบรรดาตัวแสบต่างๆ แต่สำหรับ กลุ่ม Beat แล้ว หมายถึง กลุ่มคนที่ค้นพบตัวเองและไม่เดินตามหลังใคร ถือเป็นกลุ่มชนที่มีแนวทางของตัวเองอย่างเด่นชัดโดยไม่สนใจ กระแสสังคม สื่อมวลชนจะหมายถึงกลุ่มเพื่อนนักเขียนของ Allen Ginsberg William S. Burroughs และJack Kerouac ในสมัยนั้น นักเขียนที่มีหัว ใจเดียวกันมารวมกันเข้ากับกลุ่มนี้ ทำให้ความนิยมในวิถีขบถกระจาย ตัวอย่างกว้างขวางในกลุ่มหนุ่มสาว กลายเป็นกลุ่มชนทวนกระแสที่น่า จับตามองในอเมริกายุคนั้น ด้วยความโดดเด่นที่มีเอกลักษณ์เป็น ของตัวเอง . นักเขียนยุค Beat Generation เปรียบเสมือนคบเพลิงแห่งปัญญา ที่ลุกโพลงรุ่งโรจน์จรัสจ้าทั่วอเมริกาจนทุกคนต้องจับตามอง เนื่องจาก ในยุคนั้น เป็นยุคสงครามเย็นระหว่างอเมริกาและรัสเซีย วรรณกรรม และศิลปวัฒนธรรมตกอยู่ในความมืดมนซึมเซา ประชาชนถูกทำให้ “เชื่อง” โดยปราศจากการตั้งคำถาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำถามเรื่อง สงคราม หากใครอยากวิพากษ์สังคมอาจถูกตั้งข้อหา “เป็นภัยต่อสังคม” ได้ง่ายๆ . หากแต่เหล่านักเขียน Beat กล้าลุกขึ้นมาท้าทาย และวิพากษ์ ทั้งสังคมอเมริกาและสังคมโลก เพื่อมุ่งหวังปลุกจิตวิญญาณอเมริกันชน ให้กลับคืนสู่เสรีภาพแห่งการตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์ . . . บทกวีและงานเขียนกลุ่ม Beat เน้นความไร้ฉันทลักษณ์ ไร้รูป แบบตายตัว ซึ่งบทกวีไม่จำเป็นต้องใช้คำสละสลวย ขอเพียงแต่ สามารถกระชากความคิดและอารมณ์ให้ตระหนักถึงสาระแห่งการ ดำรงอยู่ .
Generation คือ กัญชาและ LSD สอดไส้ชีวิตอันประดับประดาด้วย ดอกไม้หลากสีและชีวิตเสรีไร้ขอบเขตของเหล่าบุปผาชน . จากกลุ่มนักเขียนขบถเล็กๆ ที่เรียกตนเองว่า Beatniks เริ่มมี แนวร่วมทวนกระแสสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะฝั่งซานฟรานซิสโก ทำให้ City Lights Bookstore อันเปรียบเสมือนบ้านหรือสวนดอกไม้ แห่งกลุ่ม Beat Generation บนถนนโคลัมบัส ย่าน North Beach คับแคบไปถนัดใจ . เมื่อผู้ร่วมขบวนการ ทัดดอกไม้ในเรือนผม ทวีจำนวนมากขึ้น จึงจำเป็นต้องขยับขยายแหล่งซ่องสุมใหม่ในยุคนั้น เหล่าบุปผาชนได้ เคลื่อนย้ายตัวเองมาสู่ Haight-Ashbury เพราะยุคนั้น ค่าเช่าถูก หากแต่ สมัยนี้ ค่าเช่าแพงเหมือนทองคำเลยทีเดียว จากนั้นเป็นตันมา นับตั้งแต่ 1960s Haight-Ashbury ก็กลายเป็นตำนานแห่งบุปผาชนมาจนถึงวันนี้ . . . ในปี 1967 ถนนสายนี้กลายมาเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย มากขึ้นในการจัด Summer of love ทำให้แปรสภาพไปเป็นถนนสาย บุปผาชนโดยสมบูรณ์แบบมาจนปัจจุบัน . . ถือเป็นการแสดงดนตรีสะท้านโลกและเป็นตำนานของเหล่าบุปผาชน เลยทีเดียว งานนี้มีวงดนตรี< เครดิต : ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!! กระทู้เด็ดน่าแชร์ |