แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นสโมสรเดียวของอังกฤษ ที่ไม่ได้การชูมือเป็นผู้ชนะในการลงเล่นนัดแรกของ รอบ 16 ทีมสุดท้าย ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หลังจากทำได้แค่เสมอกับ โอลิมปิก มาร์กเซย แบบบัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ประสบปัญหาเรื่องกลุ่มนักเตะบาดเจ็บก่อนขึ้นเครื่องบินมาฝรั่งเศส เมื่อปราศจากขุนพลตัวเดี้ยงทั้ง ริโอ เฟอร์ดินานด์, ไรอัน กิ๊กส์, พาร์ค ชี-ซอง, อันแดร์สัน, ไมเคิ่ล โอเว่น และ จอนนี่ อีแวนส์ เลยทำให้การจัดขบวนทัพออกมาเป็นแบบประคองตัว เน้นปลอดภัยไว้ก่อน ซ้ำร้าย พอล สโคลส์ นักเตะเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่จากชุดที่เคยเปิดศึกกับ มาร์กเซย ในปี 1999 ก็ดันเป็นแค่ตัวสำรองของ ดาร์รอน กิ๊บสัน อีกต่างหาก
กิ๊บสัน สร้างชื่อให้ตัวเองด้วยประตูสวยๆอันเกิดมาจากลูกยิงระยะไกล แต่ดูเหมือนว่าพัฒนาทางด้านอื่นๆจะไม่เดินไปข้างหน้ามากเท่าที่ควร
ปมด้อยเรื่องสปีดความเร็ว สมควรจะได้รับการชดเชยด้วยการเปิดบอลที่แม่นยำคมกริบ ทว่ามันยังห่างไกลจากตัวกองกลางเลือดไอริชรายนี้
การประสานระหว่าง 3 กองกลางอย่าง กิ๊บสัน, ไมเคิ่ล คาร์ริค และ ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ ได้ผลลัพธ์ที่ไม่เวิร์กดังความปราถนาของ เฟอร์กี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการผ่านบอลอันไร้หางเสือ ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นหรือยาว
เมื่อขาดบอลคุณภาพจากแผงมิดฟิลด์ก็เท่ากับหั่นโอกาสดีๆของผู้เล่นแนวรุก แม้ว่า เวย์น รูนี่ย์ จะพยายามถอยลงมารับบอลต่ำกับบทบาทตัวริมเส้นฝั่งซ้าย เช่นเดียวกับ นานี่ ทางด้านขวา แต่ก็ทำอันตรายให้กับแผงหลังมาร์กเซยไม่ได้เลย
ความเหนียวแน่นของโอแอ็มไม่ได้มาเพราะโชคช่วย หลังจากลูกทีมของ ดิดิเย่ร์ เดส์ช็องส์ ไม่เสียประตูให้ใครในเกมยุโรปมาแล้ว 512 นาที และการส่ง สโคลซี่ ลงแทน กิ๊บสัน โดยหวังพึ่งประโยชน์จากการวางบอลยาวๆของ มัจจุราชหัวแดง ก็ไม่สามารถสร้างมิติใหม่ให้เกมของยูไนเต็ดยกระดับขึ้นมา
การเดินทางแมนเชสเตอร์จากมาร์กเซยหนนี้ ไม่น่าพึงพอใจเหมือนตอนมาเยือนโอลิมปิก ลียง ในรอบเดียวกันนี้ ฤดูกาล 20007/08 และควักผลเสมอ 1-1 ด้วยประตูเซฟชีวิตของ คาร์ลอส เตเวซ ในนาทีที่ 87
บุคลิกของทัพปีศาจแดงในวันนั้น มีบางสิ่งพิเศษที่ยังค้นหาไม่เจอในชุดปัจจุบัน นั่นก็คือความจัดจ้านแพรวพราวของแนวรุกที่มี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นคนคอยหาคำตอบในทุกครั้งที่เผชิญปัญหา และหากทำเองไม่ได้ก็ยังสามารถพึ่งพาแรงฮึดจาก เตฟ ได้อีกหนึ่งแรง
การเอาตัวรอดที่สต๊าด เดอ แชร์กล็องด์ เป็นสะพานทอดยาวสู่ความสำเร็จในมอสโก และคือต้นแบบที่ ท่านเซอร์ พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้พลพรรคเร้ด เดวิลส์ กลับไปผงาดบนบัลลังก์เจ้ายุโรปอีกคำรบ
ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ แทบไม่ได้คายพิษสงในเกมนี้
แต่มันคงจะจบแบบศพไม่สวย หากทีมในคอนโทรลของ เฟอร์กี้ พานพบกับฝันร้ายเหมือนอย่างปี 1998 ซึ่งในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ต้องมาเยือนสต๊าด หลุยส์ เดอซ์ ของ โมนาโก อีกหนึ่งสโมสรแห่งลีก เอิง เมืองน้ำหอม และกลับออกไปพร้อมผลเสมอ 0-0
ณ ขณะนั้นสาวกเร้ด อาร์มี่ ต่างเชื่อว่าการกลับมาเฝ้าโรงละครแห่งความฝัน คงจะสามารถกำตั๋วเข้ารอบตัดเชือกได้ไม่สบายๆ เพราะชื่อชั้นและขุมกำลังดีกว่าหลายช่วงตัว
ดาวิด เทรเซเก้ต์ สร้างชื่อแจ้งเกิดในวงการด้วยจังหวะตะบันเต็มข้อเบิกสกอร์ให้โมนาโกตั้งแต่นาทีที่ 6 ซึ่งในช่วงเวลาที่เหลือ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องทำให้ได้ 2 ประตูเป็นอย่างน้อย จึงสามารถโกงความตายได้สำเร็จ
โอเล่ กุนาร์ โซลชา ทวงประตูตีเสมอได้ตอนต้นครึ่งหลัง แต่มันก็ไร้ค่า เมื่อไม่มีเม็ดสองติดสอยห้อยตามมาด้วย
อะเวย์โกล กลายเป็น ประตูอเวจี เด็ดชีพน็อกทัพปีศาจแดงให้กระเด็นตกรอบ ทั้งๆที่ไม่แพ้
แล้วมันก็คือบทเรียนเคลือบแฝงประสบการณ์ล้ำค่าที่ ป๋าเฟอร์กี้ ไม่อยากเจอะเจออีก และคงกำชับลูกทีมให้ระมัดระวังตัวกันเป็นพิเศษใส่ไข่ว่าอย่าได้เสียประตูในบ้านตัวเอง
นัดล้างตาโอแอ็ม รูปเกมไม่น่าต่างไปจากแมตช์แรก เพราะอาคันตุกะจากแดนน้ำหอม จะเริ่มต้นเกมอย่างรัดกุม แล้วค่อยๆทยอยหาโอกาสทะลวงสกอร์นอกบ้าน ซึ่งหากแนวรุกอสูรแดงระเบิดฟอร์มได้เฉียบขาด ก็ไม่จำเป็นต้องมากังวลในส่วนนี้
ฝันร้ายคาบ้านตั้งแต่เหตุการณ์ในวันวานกับ โมนาโก เรื่อยจนถึงกรณีเจ็บแสบกับ บาเยิร์น มิวนิค เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ล้วนเป็นความผิดหวังน่าเสียดายที่แฟนผีคงยังไม่ลืมเลือนกันไป
และไม่ต้องการให้โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ต้องเจิ่งนองไปด้วยน้ำตาปีศาจซ้ำรอยแผลเดิมในวันอังคารที่15 มีนาคมนี้
*เปริมี่*