ช่วงนี้ข่าวฮือฮาที่สุดต้องยกให้เป็นของ เวย์น รูนี่ย์ กองหน้าทีมชาติอังกฤษ เพราะหลังเรื่องแอบใช้บริการทางเพศกับโสเภณีขณะภรรยาตั้งครรภ์ ถูกเปิดโปงเมื่อเดือนก่อน ล่าสุดก็มีกระแสว่าปีนเกลียวกุนซือ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จนอาจต้องย้ายออกจาก โอลด์ แทรฟฟอร์ด
เพราะเจ้าตัวเป็นนักเตะความสามารถสูง ทำให้แค่มีข่าวอาจต้องย้าย ก็ได้รับความสนใจจากสโมสรยักษ์ใหญ่หลายแห่ง แต่การเปลี่ยนสังกัดคือเรื่องธรรมดาสำหรับนักเตะโดยทั่วไปอยู่แล้ว และ ปีศาจแดง ก็มียอดดาวยิงหมุนเวียนมาลงสนามด้วยหลายรายตลอดประวัติศาสตร์ นี่คือส่วนหนึ่งของพวกเขาเหล่านั้น ที่ซึ่งถือว่าสร้างความประทับใจให้เหล่ากองเชียร์เร้ดอาร์มี่ได้เป็นอย่างดี ตลอด 2 ทศวรรษหลัง ซึ่งถือว่าเป็นช่วงประสบความสำเร็จมากสุดของสโมสรด้วยเช่นกัน
ไบรอัน แม็คแคลร์ (1987–98)
เขาคือเพื่อนร่วมชาติสกอตแลนด์ที่เฟอร์กูสันคว้ามาช่วยงานในยุคแรกที่เป็นกุนซือแมนฯยูไนเต็ด โดยซื้อมาจาก กลาสโกว์ เซลติก ด้วยค่าตัว 850,000 ปอนด์ (ประมาณ 39.7 ล้านบาท) และเจ้าของรางวัลแข้งยอดเยี่ยมประจำปี 1987 จากสมาคมนักเตะอาชีพ กับสมาคมนักข่าวฟุตบอลเมืองวิสกี้ ตอบแทนด้วยผลงาน 126 ประตู จาก 468 แมตช์ ช่วยให้คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 4 หน ในปี 1993, 1994, 1996 และ 1997, เอฟเอ คัพ 3 สมัย ปี 1990, 1994 กับ 1996, ลีก คัพ ปี 1992 รวมถึง ยูฟ่า คัพวินเนอร์ส คัพ ปี 1991
แค่ปีแรก แม็คแคลร์ซัดได้ 24 ประตู กลายเป็นนักเตะ ปีศาจแดง คนแรกในรอบ 20 ปี ถัดจาก จอร์จ เบสต์ ที่ยิงในลีกฤดูกาลเดียวเกิน 20 ลูก เหตุอื้อฉาวของเขาครั้งเดียวกับสโมสร เกิดขึ้นตอนเตะใส่หลัง ไนเจล วินเตอร์เบิร์น แบ๊กซ้าย อาร์เซน่อล ขณะนอนอยู่บนพื้นสนาม เมื่อเดือนตุลาคม 1990 จนเกิดเหตุตะลุมบอนของผู้เล่น 21 คน ผลคือแมนฯยูไนเต็ด โดนตัด 1 แต้ม ยุคหลังเขาถอยไปเล่นมิดฟิลด์ตัวรุก เพื่อเปิดทางให้ เอริก คันโตน่า ได้ลงในแผงหน้า ปัจจุบันเขากลับมาเป็นผู้อำนวยการศูนย์เยาวชนของสโมสร
มาร์ค ฮิวจ์ส (1988–95)
ความจริงเขาคือเด็กปั้นของแมนฯยูไนเต็ด ลงเล่นระหว่างปี 1978-86 ยิงได้ 37 ประตู จาก 89 นัด ก่อนย้ายไปเล่นบนภาคพื้นทวีป 2 ปี และกลับมาประสบความสำเร็จกับสโมสรอีกครั้ง โดยถูกซื้อจาก บาร์เซโลน่า 1.8 ล้านปอนด์ (84 ล้านบาท) เป็นสถิติสูงสุดของทีมตอนนั้น ช่วงแรกได้แค่แชมป์เอฟเอ คัพ ปี 1985 แต่พอช่วงที่ 2 เป็นทั้งแชมป์พรีเมียร์ลีกปี 1993 และ 1994, เอฟเอ คัพ 2 สมัย ปี 1990 กับ 1994, ลีก คัพ ปี 1992, ซูเปอร์ คัพ ปี 1991 รวมถึง ยูฟ่า คัพวินเนอร์ส คัพ ปี 1991 ซัดทั้งหมด 82 ลูก ใน 256 แมตช์
ฮิวจ์สคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำปี 1989 จากสมาคมนักเตะอาชีพของอังกฤษ ถึงปี 1994 ก็เป็นคนที่ 2 ที่ทำประตูนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยทั้ง 2 รายการในฤดูกาลเดียวกัน ปีต่อมาถูกขายให้ เชลซี ด้วยค่าตัว 1.5 ล้านปอนด์ (70 ล้านบาท) เพราะช่วงหลังเป็นแค่สำรอง จากการมาของ แอนดี้ โคล หลังจากนั้นเขาย้ายอีก 4 ครั้งในช่วง 7 ปี ได้แชมป์เพิ่ม 4 รายการ เป็นผู้เล่น-ผู้จัดการทีมชาติเวลส์ ก่อนไปคุม แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ฟูแล่ม มีชื่อติดหอเกียรติยศของฟุตบอลเมืองผู้ดีเรียบร้อยแล้ว
เอริก คันโตน่า (1992–97)
ได้ชื่อเป็นทั้งศิลปิน และจอมเกเรของวงการ เคยผ่านงานกับ 8 สโมสรใน 11 ปี ก่อนมาอยู่โอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อปี 1992 แต่อยู่ร่วมงานถึง 5 ฤดูกาล จนแขวนสตั๊ดเมื่อปี 1997 ช่วยทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกปี 1993, 1994, 1996 และ 1997 รวมถึง เอฟเอ คัพ 2 สมัย ปี 1994 กับ 1996 ซัดไป 64 ลูก ใน 144 แมตช์ เป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ได้แชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ 2 ปีซ้อนกับ 2 สโมสร ก่อนหน้าคันโคน่าจะมาร่วมทัพ พลพรรค ปีศาจแดง ไม่ได้แชมป์ลีกนาน 26 ปี เขายังคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำปี 1994 จากสมาคมนักเตะอาชีพของอังกฤษด้วย
ปัญหาสำหรับคันโตน่าคือการควบคุมอารมณ์ มีตั้งแต่ทุ่มบอลใส่ผู้ตัดสิน, ขว้างเสื้อแข่งลงพื้นหลังถูกเปลี่ยนตัว, เตะบอลใส่กองเชียร์. พูดดูถูกโค้ชทีมชาติออกทีวี, ขว้างรองเท้า และชกหน้าเพื่อนร่วมทีม ตั้งแต่อยู่ฝรั่งเศส แต่สิ่งที่ไม่น่าจดจำเกิดขึ้นคือเตะใส่กองหลัง คริสตัล พาเลซ แค่เพราะถูกดึงเสื้อ จนโดนใบแดง ก่อนออกไปกระโดดกังฟูใส่แฟนบอล ระหว่างการแข่งขันเมื่อ 25 มกราคม 1995 ผลคือได้ขึ้นหน้าหนึ่งข่าวกีฬ่าทั่วโลก ผลคือโดนปรับ 30,000 ปอนด์ (ประมาณ 1.4 ล้านบาท) และแบนยาว 8 เดือน
แอนดี้ โคล (1995–2001)
จากเด็กปั้น อาร์เซน่อล ที่ได้ลงสนามกับชุดใหญ่ 1 เกม สามารถพัฒนาตัวเองจนมีค่าตัว 7 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,403 ล้านบาท) ภายในเวลาแค่ 3 ปี โดย ปีศาจแดง ทุ่มทุนเป็นสถิติสูงสุดของยุคนั้นเพื่อดึงเขามาจาก นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด และการมีเพื่อนร่วมทีมฝีเท้าดี ทำให้โคลสามารถโชว์ฟอร์มได้ถึงขีดสุด โดยเกมชนะ อิปสวิช ทาวน์ 9-0 เมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 1995 เขาคือนักเตะคนแรกที่ยิงในพรีเมียร์ลีกเกมเดียวถึง 5 ประตู คว้าตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดของสโมสรในฤดูกาล 1997-98 กับ 1999–2000
แม้จะโดนตำหนิว่ามักใช้โอกาสเปลือง จนถูกวงดนตรี คาตาลันย่า ของเวลส์ นำไปแต่งเป็นเพลงล้อเลียน Do You Believe In Me? แต่การเล่นให้สโมสร 195 แมตช์ เจ้าตัวยิงให้แมนฯยูไนเต็ด 93 ประตู ช่วยทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ควบแชมป์สโมสรโลกปี 1999 นอกจากนั้นยังครองแชมป์พรีเมียร์ลีกอีก 5 สมัย ปี 1996, 1997, 1999, 2000 และ 2001 รวมถึง เอฟเอ คัพ 2 สมัย ปี 1996 กับ 1999 แม้จะเคยขาหักสองท่อนในปี 1997 ล่าสุดเป็นโค้ชกองหน้าให้ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ในลีกวัน
รุด ฟานนิสเตลรอย (2001–06)
ดาวยิงคางยาวชาวดัตช์สร้างผลงานโดดเด่นที่ฮอลแลนด์บ้านเกิด จนแมนฯยูไนเต็ดต้องทุ่มซื้อถึง 19 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,403 ล้านบาท) มาจาก พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ซึ่งสูงสุดเป็นสถิติอีกเช่นกัน และเขาตอบแทนสโมสรด้วยการพาคว้า 4 แชมป์ในเวลา 3 ปี ทั้งพรีเมียร์ลีก กับ คอมมิวนิตี้ ชีลด์ (ปี 2003), เอฟเอ คัพ (2004) รวมถึง ลีก คัพ (2006) แถมทำเงินให้ ปีศาจแดง ถึง 24 ล้านยูโร (ประมาณ 984 ล้านบาท) ตอนขายออกไปให้กับ เรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่ของลา ลีกา สเปน เมื่อปี 2006
ฟาน นิสเตลรอย ต้องออกจากแมนฯยูไนเต็ด เพราะมีปัญหากับเฟอร์กูสัน, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และมีการพาดพิงถึง คาร์ลอส เคยรอซ ผู้ช่วยกุนซือ ปีศาจแดง ด้วย รวมแล้วเขายิงได้ 150 ประตู จาก 220 แมตช์ คว้าตำแหน่งดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก และกองหน้ายอดเยี่ยมของยูฟ่า ประจำฤดูกาล 2002-03 ทำสถิติเป็นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของสโมสรในเวทียุโรป 38 ประตู เพราะเป็นดาวยิงสูงสุดของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2001–02, 2002–03 และ 2004–05 รวมทั้งคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี 2002 ของสมาคมนักเตะอาชีพของอังกฤษด้วย
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา (1996–2007)
ไม่มีใครคิดหรอกว่าตอนแมนฯยูไนเต็ด ซื้อเขามาร่วมสังกัดเมื่อปี 1996 ด้วยค่าตัว 1.5 ล้านปอนด์ (ประมาณ 70 ล้านบาท) นักเตะโนเนมชาวนอร์เวย์รายนี้จะกลายมาเป็นตำนานของ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ซึ่งมีส่วนที่ทำให้ได้ 13 แชมป์ (6 ครั้งเป็นพรีเมียร์ลีก) เพราะตอนนั้นจริงๆแล้ว ปีศาจแดง อยากได้ อลัน เชียเรอร์ มากกว่า แถมมี แอนดี้ โคล กับ เอริก คันโตน่า เป็นตัวจริงอยู่แล้ว แต่จนถึงทุกวันนี้ทั้งสองฝ่ายก็ยังร่วมงานกันเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนสถานะจากผู้เล่นมาเป็นกุนซือทีมสำรอง
ผลงานการยิงของโซลชาอาจดูไม่เยอะ เพราะเขามักถูกเปลี่ยนลงสนามในฐานะตัวสำรอง แต่ส่วนใหญ่ของ 91 ลูก จาก 235 แมตช์ เป็นสกอร์สำคัญๆ และนอกจากประตูชัยในช่วงต่อเวลานัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปี 1999 ที่ทำให้แมนฯยูไนเต็ดพลิกสถานการณ์กลับมาชนะ บาเยิร์น มิวนิค 2-1 คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้สำเร็จ แฟนบอลจึงมีเพลงพิเศษให้กับเขาคือ Who Put the Ball in the Germans Net? และ You Are My Solskjaer ทุกวันนี้สาวกเร้ดอาร์มี่ก็ยังไม่มีใครลืมเจ้าของฉายา เบบี้เฟซ แอสแซสซิ่น