เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จสูงในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลในเกาะอังกฤษ โดยคว้าแชมป์รายการใหญ่ได้ถึง 18 ครั้งในระยะเวลาที่ทำหน้าที่อยู่กับปีศาจแดง ถึงแม้ว่าจะอยู่ในโอลด์ แทรฟฟอร์ดมาเกือบสองทศวรรษแล้ว แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นอยู่กับการเพิ่มสถิติดังกล่าว ด้วยการนำแชมป์เข้าสู่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดให้มากขึ้นอีก
กุนซือทีมปีศาจแดงสนุกกับอาชีพนักเตะทางตอนเหนือของเกาะ ซึ่งเขาเล่นอยู่กับควีนส์ปาร์ค, เซนต์จอห์นสโตน, ดันเฟิร์มลิน, กลาสโกว์ เรนเจอร์ส, ฟัลเคิร์ก และอายร์ ยูไนเต็ด แต่ไม่ใช่ในฐานะนักเตะที่เซอร์อเล็กซ์ประสบความสำเร็จกับเกม
หลังจากยุติอาชีพค้าแข้งได้ช่วงหนึ่ง เขาก็เบนเข็มไปเป็นโค้ช โดยรับตำแหน่งผู้จัดการทีมอีสต์ สเตอร์ลิงไชร์, เซนต์เมียร์เรน และอเบอร์ดีน และเป็นการทำงานในถิ่นพิทโทดรี้นี่เองที่เขาสร้างชื่อขึ้นมาในฐานะโค้ชชั้นนำ เขาหยุดยั้งการผูกขาดแชมป์ลีกสกอตของทีมจากเมืองกลาสโกว์ลงได้ ด้วยการนำอเบอร์ดีนคว้าแชมป์ลีก 3 สมัย, แชมป์สกอตติชคัพ 4 สมัย, แชมป์ลีกคัพ 1 สมัย และแชมป์คัพวินเนอร์สคัพ 1 สมัย
หลังปลดรอน แอตกินสันออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผู้บริหารในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดก็ไม่รอช้าที่จะติดต่อเขาทันที และได้ตัวเขามาคุมทีมในวันที่ 6 พฤศจิกายน 1996
เฟอร์กูสันเข้าไปรับช่วงทีมที่ทดท้อและประสบความสำเร็จต่ำกว่าที่ควรจะเป็น โดยการไม่สามารถหยุดยั้งการผูกขาดความยิ่งใหญ่ของลิเวอร์พูลได้ สร้างความไม่พอใจให้กับแฟนบอลของทีมอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ทีมจมอยู่ในกลุ่ม 4 ทีมท้ายตารางดิวิชั่น 1 เฟอร์กูสันก็เริ่มงานด้วยการนำทีมให้หลุดพ้นจากโซนตกชั้นก่อนเป็นอันดับแรก และโดยไม่ได้ซื้อนักเตะเข้ามาเพิ่มเลย เขาสามารถนำแมนฯยูฯไต่ขึ้นมาและจบฤดูกาลด้วยอันดับ 11
จนถึงตอนนี้ชัดเจนแล้วสำหรับเฟอร์กูสันว่าเขาเจอกับงานใหญ่ในการจะสร้างความเปลี่ยนแปลงขึ้นในสโมสร แมนฯยูฯเป็นทีมที่เล่นสนุกแต่ไม่สามารถรับมือกับเกมหนักที่ต้องอาศัยความแข็งแกร่งของสภาพร่างกายแบบฟุตบอลลีกได้ ในฤดูกาลที่สองของเขา ปีศาจแดงจบได้ดีกว่าเดิมมากด้วยอันดับสองรองจากลิเวอร์พูล แต่สิ่งที่เห็นก็ยังไม่ใช่ภาพที่แท้จริง เพราะจุดเปลี่ยนมาถึงในฤดูกาล 1989/90
หลังจากปีศาจแดงต้องถูกจับฉลากให้ออกไปเตะนอกบ้านติดต่อกันหลายรอบ แมนฯยูฯก็คว้าแชมป์แรกมาครองได้ในยุคของเฟอร์กูสัน โดยลี มาร์ตินยิงประตูเดียวของเกมได้ในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพนัดรีเพลย์กับคริสตัล พาเลซ
แชมป์แรกเป็นเหมือนการเปิดประตูให้ความสำเร็จหลั่งไหล่เข้าสู่ทีม โดยตามมาด้วยการคว้าแชมป์คัพวินเนอร์สคัพในฤดูกาลถัดมาที่ร็อตเตอร์ดัม ด้วยการพิชิตบาร์เซโลน่า 2-1 จากประตูของมาร์ค ฮิวจ์ส หลังจากนั้นในฤดูกาล 1991/92 แมนฯยูฯก็ได้แชมป์ลีกคัพมาเพิ่มอีกใบ
น่าเสียดายที่แชมป์ลีกยังมาไม่ถึง มันเป็นเหมือนจอกศักดิ์สิทธิ์สำหรับแฟนบอลของแมนฯยูฯ การว่างเว้นแชมป์มานานถึง 26 ปีถูกซ้ำเติมด้วยการต้องเห็นลิเวอร์พูลผูกขาดความยิ่งใหญ่ในประเทศและในยุโรป
ในฤดูกาล 1992/93 การรอคอยแชมป์ลีกที่ยาวนานก็สิ้นสุดลง ปีศาจแดง ซึ่งมีเอริก ก็องโตน่า นักเตะที่ถูกคว้ามาเสริมทีมด้วยค่าตัว 1 ล้านปอนด์ เป็นแรงขับเคลื่อน ก็แย่งแชมป์กับแอสตัน วิลล่าได้สำเร็จในสัปดาห์สุดท้ายของฤดูกาล
หลังจากนั้นสิ่งที่พันธนการอยู่ก็ขาดสะบั้นลง การคว้าดับเบิ้ลแชมป์ตามมาในฤดูกาล 1993/94 และดับเบิ้ลดับเบิ้ลแชมป์ (ด้วยนักเตะเด็กๆ) ในฤดูกาล 1995/96 และแชมป์อีกสมัยในปี 1997 ในที่สุดแมนฯยูฯก็ประสบความสำเร็จนอกสนามด้วยความสำเร็จในสนาม การผูกขาดความยิ่งใหญ่ของลิเวอร์พูลสิ้นสุดลง
ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเซอร์อเล็กซ์เกิดขึ้นในฤดูกาล 1998/99 ไม่เคยมีทีมใดมาก่อนที่ประสบความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์ 3 รายการทั้งพรีเมียร์ชิพ, เอฟเอคัพ และยูโรเปี้ยนคัพ ในคืนที่ไม่อาจลืมเลือนในบาร์เซโลน่า การตัดสินใจของเขาที่ส่งเท็ดดี้ เชอริงแฮมและโอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ สองตัวสำรองลงสนามไปทำให้ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ถูกจารึกขึ้น ทั้งคู่ยิงประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บให้ทีมคว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกมาครองเป็นถ้วยสุดท้ายของการทำทริปเปิ้ลแชมป์
เฟอร์กูสันได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นอัศวินจากความสำเร็จดังกล่าว และหลายคนเดาว่าเขาอาจจะวางมือจากการทำงาน โดยเชื่อว่าความกระหายของเขาหมดลงแล้วหลังจากทำความฝันให้เป็นจริงได้ แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลย เพราะเขานำทีมคว้าแชมป์อีกสมัยในฤดูกาล 1999/2000 และทำได้ติดต่อกันสามสมัยในฤดูกาล 2000/01 แชมป์พรีเมียร์ชิพสมัยที่ 8 ของเขามาถึงในฤดูกาล 2002/03 แชมป์เอฟเอคัพสมัยที่ 4 ของเขามีขึ้นตามมาหนึ่งปีหลังจากนั้นในเกมกับมิลวอลล์ที่คาร์ดิฟฟ์
ตอนนี้ปีศาจแดงเข้าสู่ยุคของการสร้างทีมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ทีมที่มีนักเตะท้องถิ่นแบบที่เขานำมาเล่นร่วมกันครั้งแรกในฤดูกาล 1995/96 ตอนนี้แตกกระสานซ่านเซ็นไปหมดแล้ว และเขาได้ดึงดาวเตะหน้าใหม่ๆอย่างเวย์น รูนี่ย์และคริสเตียโน่ โรนัลโด้มาสู่ทีมเพื่อร้างความสำเร็จในยุคใหม่ให้กับทีม
เซอร์อเล็กซ์เชื่อว่าการคว้าแชมป์คาร์ลิ่งคัพในฤดูกาล 2005/06 ซึ่งปีศาจแดงเอาชนะวีแกน แอธเลติก 4-0 อาจจะเป็นตัวเร่งความสำเร็จในยุคใหม่ของทีมได้ และแม้ว่าเชลซีอาจจะผูกขาดอำนาจการซื้อในตลาดนักเตะ แต่เซอร์อเล็กซ์ก็ยังกระหายที่จะคว้าแชมป์มาครองเพิ่มอีกเหมือนที่เป็นมาตลอด
จริงๆแล้วเขากระหายมากจนเลื่อนแผนที่จะรีไทร์ออกไป และตั้งเป้าที่จะนำแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดให้กลับมาเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ในฟุตบอลอังกฤษและฟุตบอลยุโรปอีกครั้ง ...