สิ่งสำคัญที่สุดในการแข่งขันกีฬาคือ "ใจ" เมื่อมีกำลังใจเต็มเปี่ยมแม้ฝีมือจะเป็นรองก็สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ และสำหรับนักกีฬาไทยทุกคน คงไม่มีกำลังใจไหนที่เปี่ยมล้นไปกว่ากำลังใจจากราชาอันเป็นที่รักของคนทั้งชาติ
ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ในนัดชิงชนะเลิศ ศึกฟุตบอล เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 นัดชิงชนะเลิศ นัดสอง ทัพนักเตะทีมชาติไทยกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเมื่อบุกไปโดนมาเลเซียนำอยู่ในครึ่งแรก 0-2 ส่งให้ความหวังการทวงเจ้าอาเซียนเริ่มริบหรี่ แต่ทันใดนั้นในครึ่งหลังได้มีระฆังสวรรค์จากฟากฟ้า เมื่อพ่ออยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับสั่งให้ราชเลขาธิการ สํานักพระราชวัง โทรศัพท์ทางไกลเพื่อทรงพระราชทานกำลังใจถึงเหล่าขุนพลแดนสยาม ซึ่งนับเป็นสิ่งที่สำคัญช่วยให้ "ช้างศึก" ยิงสองประตูได้ในช่วงท้ายเกม จบเกมด้วยผล 2-3 สกอร์รวมชนะ 4-3 คว้าแชมป์รายการนี้ในรอบ 12 ปี
ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ถวายงานพระองค์อย่างใกล้ชิด เปิดเผยถึงวินาทีนั้นว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงติดตามและใส่พระทัยในฟุตบอลทีมชาติมาโดยตลอด ในแมตช์นั้น พระองค์ทรงตื่นจากบรรทมด้วยพระองค์เองตอนเวลา 19.00 น. พร้อมมีรับสั่งให้เปิดโทรทัศน์เพื่อที่จะดูการแข่งขัน สิ่งนี้แสดงถึงความตั้งพระทัยจริงๆ เมื่อจบครึ่งแรกเราตามอยู่ 0-2 พระองค์ทรงรับสั่งให้รองราชเลขาฯ โทรศัพท์ทางไกลถึงผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมชาติไทยที่อยู่มาเลเซียว่า "เราดูฟุตบอลอยู่ เราติดตามดูอยู่ ขอส่งกำลังใจไปให้" ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่ง ที่พระองค์ทรงห่วงใย
แน่นอนว่าวินาทีนี้จะตราตรึงอยู่ในใจเหล่าขุนพล "ช้างศึก" ไปชั่วชีวิต โดย เกษม จริยวัฒน์วงศ์ ผู้จัดการทีมชาติไทย เผยถึงเหตุการณ์หลังได้รับกำลังใจจากพระเจ้าแผ่นดินว่าปาฏิหาริย์มีจริง
"มีโทรศัพท์เข้ามาที่เครื่องผมตอนพักครึ่ง แต่ผมไม่รู้สึกตัว เพราะกำลังกระตุ้นนักฟุตบอลในห้องพักอยู่ พอลงไปเล่นครึ่งหลังเราก็โดนยิงเพิ่ม 0-3 สักพักผมมีความรู้สึกว่าโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่น จึงหยิบขึ้นมาดูพบข้อความจากรองราชเลขาฯ ให้ติดต่อกลับ วินาทีนั้นมือผมสั่นไม่หยุดเลย กดเบอร์ผิดๆ ถูกๆ ขาดบ้าง เกินบ้าง ต้องให้คุณหมอในทีมเป็นคนกดให้ เมื่อติดต่อได้ท่านรองราชเลขาฯ ได้บอกกับผมว่า ในหลวงทรงทอดพระเนตรการแข่งขันอยู่ และมีพระราชสาสน์ถึงนักฟุตบอลว่า ‘ขอให้กำลังใจผู้เล่นทุกคน ขออวยพรให้ชนะ อย่าท้อถอย ให้สู้ถึงที่สุด' และยังไม่ทันสิ้นเสียงดี ชาริล ชัปปุยส์ ก็ยิงเข้าทันทีไล่มาเป็น 1-3 ในนาที 82 ตอนนั้นผมสติหลุดเลย วิ่งไปด้วยตะโกนไปด้วย บอกปลายสายว่าเรายิงเข้าแล้วๆ พร้อมตะโกนบอกนักบอลว่าในหลวงโทรมาให้กำลังใจทุกๆ คน จากนั้นอีก 5 นาทีต่อมา ชนาธิป สรงกระสินธ์ ก็ยิงประตูให้ทีมเป็น 2-3 ทำให้เราได้แชมป์ ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง และแชมป์วันนั้นทำให้ฟุตบอลไทยประสบความสำเร็จจนถึงวันนี้" เกษม เผย