ด้านทีมเยือนของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ซึ่งเมื่อกลางสัปดาห์ระเบิดฟอร์มสุดยอดบุกถล่มสเตอัว บูคาเรสต์ในเกมยุโรปถึง 5-0 โดยตัดสินใจเปลี่ยนแปลงนักเตะจากนัดดังกล่าวเพียงแค่รายเดียวเช่นกัน คือ เฆซุส นาบาส ที่จะได้ลงทำทำเกมรุกทางริมเส้นแทนที่ของ โนลิโต้
เริ่มเกมมาเป็นซิตี้ที่สามารถครองบอลบุกเข้าใส่ได้มากกว่า จนกระทั่งนาทีที่ 27 ก็มาได้จุดโทษ จากจังหวะที่ นิโคลัส โอตาเมนดี้ โดน ไรอัน ชอว์ครอสส์ เจตนาดึงและเหนี่ยวรั้งตัวจนล้มลงไป ก่อนจะเป็น เซร์คิโอ อเกวโร รับหน้าที่สังหารเข้าไปไม่พลาด ส่งให้เรือใบสีฟ้าในชุดเยือนสีดำแขนสีเลือดหมูบุกนำ 1-0
ถัดมานาทีที่ 36 ทีมเยือนมาบวกลูกสองเพิ่มได้อีก จากลูกฟรีคิกทางกราบขวาที่ เควิน เดอ บรอยน์ เปิดให้ อเกวโร เจ้าเก่า เทกตัวโขกเข้าไปตุงตาข่าย เป็นประตูที่สองของ เอล กุน ในเกมนี้ด้วย ช่วยให้แชมป์เก่าลีกคัพหนีห่างเป็น 2-0 และจบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์นี้
เข้าสู่ครึ่งหลังได้เพียงแค่ 4 นาทีเท่านั้น เป็นฝั่งสโต๊คที่มาได้จุดโทษบ้าง จากจังหวะที่ ไรอัน ชอว์ครอสส์ โดน ราฮีม สเตอร์ลิง เจตนาขัดขวางไม่ให้เข้าถึงบอล ก่อนจะเป็น โบยาน เกร์กิช รับหน้าที่สังหารเข้าไปไม่พลาด ทำให้เจ้าบ้านตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-2
แม้ว่าช่างปั้นหม้อจะมีโอกาสลุ้นตีเสมออยู่หลายครั้ง แต่กลายเป็นซิตี้ที่มาอาศัยการสวนกลับ บวกลูกสามหนีออกไปอีก ในช่วงท้ายเกมนาทีที่ 86 จากการประสานงานกันของสองตัวสำรอง โดยเป็น เคเลชี อิเฮียนาโช ที่ลากบอลล็อคหลบ เชย์ กิฟเวน ในเขตโทษ ก่อนจะโชว์ความใจกว้างถวายพานต่อให้ โนลิโต้ ยิงจ่อๆเข้าไป ส่งให้เรือใบสีฟ้าบุกนำ 3-1
ช่วงทดเจ็บนาทีที่ 90+5 ทีมเยือนมาได้ประตูที่สี่ปิดกล่อง จากจังหวะที่ สเตอร์ลิง ลากหลุดเดี่ยวไปถวายพานต่อให้ โนลิโต้ แประยะเผาขนเข้าไปอย่างง่ายดาย ทำให้สุดท้ายจบเกมเป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่บุกมาเอาชนะไปได้สำเร็จ 4-1 เก็บ 6 แต้มเต็ม แซงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดขึ้นไปรั้งจ่าฝูงชั่วคราวด้วยจำนวนประตูที่ยิงได้มากกว่า ส่วนสโต๊ค ซิตี้มีแค่แต้มเดียวเท่าเดิมจาก 2 นัด หล่นมาอยู่อันดับ 13 ชั่วคราว