หงส์ทะลวง4-1มีลุ้นฉลุย มิลาน1-1ลิ่ว,ค้างคาวปิ๋ว

หงส์แดง ลิเวอร์พูล ยังมีโอกาสไปลุ้นเข้ารอบในนัดสุดท้าย เมื่อระเบิดฟอร์มสุดยอดถล่ม เอฟซี ปอร์โต้ เบาะๆ 4-1 ขณะที่ เอซี มิลาน การันตีเข้ารอบ 100 เปอร์เซนต์หลังเสมอ เบนฟิก้า 1-1 ด้าน บาเลนเซีย กระเด็นตกรอบทันทีเมื่อทำได้แค่เสมอ ชาลเก้ 0-0 ส่วน เรอัล มาดริด พลาดตั๋วเข้ารอบหลังพลาดท่าพ่าย แวร์เดอร์ เบรเมน 2-3 ในศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อคืนที่ผ่านมา


ฟุตบอลยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก


(รอบแบ่งกลุ่ม ฤดูกาล 2007/2008)


(วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน 2550)



(กลุ่ม เอ)


ลิเวอร์พูล (อังกฤษ) 4 - ปอร์โต้ (โปรตุเกส) 1

สนาม :แอนฟิลด์


หงส์แดง ลิเวอร์พูล ลงสนามพบ ปอร์โต้ ในเกมที่เงื่อนไขต้องชนะเท่านั้นหากอยากเข้ารอบ เกมนี้ราฟาเอล เบนิเตซ ได้ ยอสซี่ เบนายูน หายเจ็บกลับมา ส่วนแดนหน้า เฟร์นานโด ตอร์เรส จับคู่กับ อังเดร โวโรนิน ฝั่งทีมเยือนใช้ตัวเด่นลงสนามครบครันทั้ว ลิซานโดร โลเปซ, ลูโช กอนซาเลซ หรือ ริคาร์โด้ กวาเรสม่า


เปิดฉากครึ่งแรกลิเวอร์พูลครองเกมได้เหนือกว่าตามคาด จนมีโอกาสแรกเข้าทำนาที 10 เฟร์นานโด ตอร์เรส ฉกบอลจากกองกลางปอร์โต้ก่อนจะโซโล่เดี่ยวเข้ากรอบเขตโทษกดด้วยขวา ทว่าไปตรงตัวเฮลตัน นายด่านทีมเยือน


เกมของลิเวอร์พูลยังเดินเครื่องต่อไป จนนาที 19 เสียงเดอะ ค็อป ได้เฮลั่น จากลูกเตะมุม สตีเว่น เจอร์ราร์ด เปิดมาเสาสองให้ เฟร์นานโด ตอร์เรส ขึ้นโขกจมตาข่าย พาเจ้าบ้านนำ1-0 และเป็นประตูแรกของ เอล นินโญ่ ในเวทีแชมเปี้ยนส์ ลีก


ผ่านครึ่งชั่วโมงแรกมาเกมของปอร์โต้ใช้จังหวะโต้กลับเล่นงานลิเวอร์พูลมากจึ้น และนาที 33 ตีเสมอสำเร็จ เปอร์เซมีสลาฟ คาซเมียร์ซ์ซัค ได้บอลกราบซ้ายและโยนเข้ากลางให้ ลิซานโดร โลเปซ ขึ้นโหม่งผ่านมือ โฆเซ่ เรน่า สกอร์เท่ากัน 1-1


พอตีเสมอได้ปอร์โต้เริ่มมั่นใจมากขึ้น นาที36 เกือบพลิกขึ้นนำ ลูโช กอนซาเลซ จ่ายบอลทะลุให้ ลิซานโดร หลุดเดี่ยวไปยิงผ่านเรน่า แต่ลูกเฉียดเสาออกลังเหลือเชื่อ


หงส์แดงมีลุ้นเล็กๆช่วงท้ายครึ่งแรกจากลูกฟรีคิกของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด อัดระยะ 35 หลา ไม่ตรงกรอบ จนจบครึ่งแรกยังเสมอกันที่ 1-1


เข้าสู่ครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลเริ่มเกมรุกใหม่ นาที50 ลูกจากโฆเซ่ เรน่า เปิดยาวมาถึง เฟร์นานโด ตอร์เรส กระชากเข้าเขตโทษและไหลให้ ยอสซี่ เบนายูน แปด้วยขวา แต่โดนไม่ดีลูกหลุดกรอบอย่างน่าเสียดาย


น.78 หงส์แดงมาได้ประตูที่ 2 ในที่สุด เมื่อแฮร์รี่ คีเวลล์ไหลบอลให้ตอร์เรสกระชากเข้าไปแปด้วยขวา ส่งบอลเสียบหน้าต่างเสาสองอย่างสวยงาม


น.84 ลิเวอร์พูลมาได้ประตูที่ 3 จากจุดโทษที่มิลาน สเตปานอฟทำแฮนด์บอล ผู้ตัดสินเป่าให้จุดโทษทันที ก่อนที่สตีเว่น เจอร์ราร์ดจะรับหน้าที่สังหารเข้าไปไม่พลาด


น.87 ท้ายเกม เจ้าบ้านมาได้ประตูที่ 4 ปิดท้าย จากปีเตอร์ เคร้าช์ตัวสำรองที่เทกตัวโขกลูกเตะมุมเข้าไป จบเกมลิเวอร์ถล่มเอฟซี ปอร์โต้ 4-1 ทำให้ทั้งสองทีมต้องไปลุ้นเข้ารอบในนัดสุดท้ายต่อไป


รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
ลิเวอร์พูล : โฆเซ่ มานูเอล เรน่า, สตีฟ ฟินแนน, เจมี่ คาร์ราเกอร์, ซามี่ ฮูเปีย, อัลบาร์โร่ อาร์เบลัว, ยอสซี่ เบนายูน, สตีเว่น เจอร์ราร์ด, ฮาเวียร์ มาสเคราโน่, ไรอัน บาเบิล, อังเดร โวโรนิน, เฟร์นานโด ตอร์เรส
สำรอง : ชาร์ลส อิต็องด์เย่, ยอห์น อาร์เน่ ริเซ่, แฮร์รี่ คีเวลล์, ปีเตอร์ เคร้าช์, เดิร์ค เคาท์, ลูคัส เลว่า, โมฮาเหม็ด ซิสโซโก้
ปอร์โต้ : เฮลตัน , บรูโน่ อัลเวส, มิลาน สเตปานอฟ, มาเร็ค เชห์, เปาโล อาสซุนเซา, ริคาร์โด้ กวาเรสม่า, ลูโช กอนซาเลซ, ลิซานโดร โลเปซ, มาเรียโน่ กอนซาเลซ, โชเซ่ โบซิงวา, เปอร์เซมีสลาฟ คาซเมียร์ซ์ซัค
สำรอง : นูโน่, เปโดร เอ็มมานูเอล, ฟูซิเล่, ราอูล เมยเรเลส, ทาริค เซ็กติอุย, มาริโอ โบลัตติ, เฮลเดอร์ โพสติก้า


(กลุ่มดี)


เบนฟิก้า (โปรตุเกส) 1 - เอซี มิลาน (อิตาลี) 1


เหยี่ยวลิสบอน เบนฟิก้า ต้องการชัยชนะในนัดนี้สถานเดียว เพื่อไปลุ้นเข้ารอบจนถึงนัดสุดท้าย ขณะที่ทีมเยือน มิลาน ขอแค่แต้มเดียวก็จะการันตีการเข้ารอบ 100 เปอร์เซนต์


สภาพทีมเจ้าบ้านปรับเปลี่ยนแผนการเล่นมาใช้ นูโน่ โกเมส เป็นหน้าเป้าคนเดียว ส่วน รุย คอสต้า เพลย์เมคเกอร์ของทีมก็ได้เจอทีมเก่าด้วย ขณะที่ทีมเยือนใส่ชื่อ โรนัลโด้ เป็นแค่ตัวสำรอง และให้ อัลแบร์โต้ จิลาร์ดิโน่ เป็นตัวเป้าคนเดียว


เปิดฉากขึ้นมา 15 นาที แชมป์เก่า เอซี มิลาน ก็ได้ประตูขึ้นนำ 1-0 อันเดรีย ปิร์โล่ ได้บอลระยะ 20 หลาหน้าเขตโทษ ก่อนสับไกด้วยขวาเต็มเท้า บอลพุ่งเสียบมุมเข้าไปอย่างสวยงาม


แต่ถัดจากนั้น 5 นาที เบนฟิก้า ก็ได้ประตูตีเสมอเป็น 1-1 อย่างรวดเร็ว เมื่อ มักซี่ เปไรร่า ได้บอลระยะ 25 หลา ก่อนล็อกเข้าเท้าซ้าย แล้วอัดเต็มๆ บอลพุ่งกระแทกเสาสองเข้าไปแบบสวยงามไม่แพ้กัน จบครึ่งแรก ทั้งสองทีมยังเสมอกันอยู่ 1-1


กลับมาเล่นกันต่อในครึ่งหลังแผล็บเดียว กุนซือคาร์เล็ตโต้ตัดสินใจเปลี่ยนเอา คริสเตียนบร็อคคี่ ที่ไม่มีบทบาทแล้วส่งเอา โยฮัน กูร์กกุฟฟ์ ตัวรุกลงมาเล่นแทน


นาทีที่ 55 แฟนบอลเหยี่ยวลินบอนต้องร้องครางฮือ เมื่อนูโน่ โกเมส ได้จังหวะซ้ำยิงผ่านมือของ เนลสัน ดิด้า เสียบตาข่ายเข้าไปแล้วแต่ว่าผู้ตัดสินเป่าให้จังหวะนั้นเป็นลูกล้ำหน้าเสียก่อน


ให้หลังอีกเจ็ดนาที มิลานมีลุ้นได้ลูกนำเหมือนกันจากลูกฟรีคิกระยะหวังผลทางด้านกราบซ้าย อันเดรีย ปีร์โล่ รับหน้าที่ปั่นไซด์โค้งแล้วบอลผ่านเสาสองออกไปคืบเดียวเท่านั้น


ช่วงเวลาที่เหลือมิลานหันมาเน้นการครองบอลเพื่อครองสกอร์ที่มีอยู่แล้วทำสำเร็จจบเกมมิลานบุกมายันเสมอเบนฟิก้า 1-1 ได้แต้มเดียวพร้อมผ่านเข้ารอบ16ทีมแล้ว


รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
เบนฟิก้า : ควิม, หลุยส์ ฟิลิเป้, ลุยเซา, ดาวิด ลูอิซ, เลโอ, มักซี่ เปไรร่า, อาร์มันโด้ เปอตีต์, คอนสแตนตินอส คัตซูรานิส, รุย คอสต้า, คริสเตียน โรดริเกซ, นูโน่ โกเมส
สำรอง : ฮันส์ ยอร์ก บุตต์, เอ็ดคาร์ลอส, นูโน่ อัสซิส, เนลสัน, อังเกล ดิ มาเรีย, ออสการ์ คาร์โดโซ่, เฟร็ดดี้ อาดู
เอซี มิลาน : ดิด้า, ดานิเอเล่ โบเนร่า, อเลสซานโดร เนสต้า, คาค่า คาลัดเซ่, แซร์จินโญ่, เจนนาโร่ กัตตูโซ่, อันเดรีย ปิร์โล่, คริสเตียน บร็อคคี่, คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ, กาก้า, อัลแบร์โต้ จิลาร์ดิโน่
สำรอง : เซลจ์โก้ คาลัช, คาฟู, เปาโล มัลดินี่, จูเซ็ปเป้ ฟาวัลลี่, มัสซิโม่ อ็อดโด้, โยอันน์ กูร์คุฟฟ์, โรนัลโด้


(กลุ่ม บี)


บาเลนเซีย (สเปน) 0 - ชาลเก้04 (เยอรมนี) 0

สนาม :เมสตาย่า


บาเลนเซีย ลงสนามพบ ชาลเก้04 เกมนี้ทั้งสองทีมต้องการชัยชนะเพื่อโอกาสเข้ารอบ เจ้าบ้านส่ง เฟร์นานโด มอริเอนเตส ยืนคู่ ดาบิด บีย่า พร้อมมีเอดูกองกลางแซมบ้าหายเจ็บกลับมาหลังพักไปเกือบปี ฝั่งทีมเยือนปรับแดนหน้าให้ ฮาลิล อัลตินท็อปลงแทน เกรัลด์ อซาโมอาห์ ส่วน เควิน คูรานี่ ยืนค้ำตามเดิม


เริ่มครึ่งแรกบาเลนเซียอาศัยความได้เปรียบเล่นในบ้านเดินเครื่องมากกว่า นาที9 ฆัวกิน ซานเซช สบโอกาสกดด้วยขวานอกกรอบเขตโทษลูกเหินข้ามคาน


ฆัวกิน ซานเชซ ยังเป็นตัวป่วนของทีมเยือน นาที 22 เลี้ยงตัดจากขวาเข้าไปซัดในกรอบเขตโทษ แต่ยังไม่ดีพอลูกเฉี่ยวเสาสองออกหลังไป


สองนาทีต่อมาชาลเก้สวนกลับมาบ้างจนได้ลูกเตะมุม เมซุต โอซิล โยนเข้ามาให้ มาร์เซโล บอร์ดอน เทกตัวโหม่งเต็มๆ ทว่าลูกไม่ตรงกรอบ


ผ่านครึ่งชั่วโมงแรกมาสองนาที บาเลนเซียต้องมาเหลือผู้เล่นสิบคนเมื่อ ดาบิด อัลเบลด้า ไปมีปัญหาทะเลาะกับ ราฟินญ่า จนผู้ตัดสินชูใบแดงไล่ออกทันที ส่วนแบ๊คขวาชาลเก้ได้แค่ใบเหลือง


พอมีตัวมากกว่าอาคันตุกะเริ่มบุกมากขึ้น นาที 39 เควิน คูรานี่ ได้บอลในกรอบเขตโทษและกดด้วยขวาลูกถากเสาไปชนิดมีเสียว จบครึ่งแรกยังทำอะไรกันไม่ได้เจ๊า 0-0


กลับมาเล่นต่อครึ่งหลังราชันสีน้ำเงินยังดูดีกว่าเนื่องจากได้เปรียบตัวผู้เล่น นาที55 อิวาน ราคิติช ได้ส่องไกลจากนอกกรอบเขตโทษลูกเฉียดเสาไปอีก


เลยชั่วโมงแรกมาบาเลนเซียเหมือนเพิ่งตื่น บุกขึ้นมาบ้าง บิเซนเต้ โรดริเกซ เลี้ยงตัดจากซ้ายเข้ากลางและยิงเต็มข้อ มานูเอล นอยเออร์ รับไม่มีกระฉอก


นาที 76 ค้างคาวเกือบมีเฮ ดาบิด บีย่า เปิดมาให้ดาบิด ซิลบา กดด้วยขวาลูกไปเข้าข้างตาข่าย จากนั้นไม่มีใครทำประตูกันได้จบเกม บาเลนเซีย ทำได้แค่เสมอ ชาลเก้ไป 0-0 ทำให้บาเลนเซียตกรอบทันที ส่วนชาลเก้ต้องไปลุ้นนัดสุดท้าย


รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
บาเลนเซีย : ซานติอาโก้ คานยีซาเรส, มิเกล มอนเตโร่, อิบัน เอลเกร่า, การ์ลอส มาร์เชน่า, มาร์โก กาเนยร่า , ฆัวกิน ซานเชซ, ดาวิด อัลเบลด้า, เอดู , บิเซนเต้ โรดริเกซ, เฟร์นานโด มอริเอนเตส, ดาบิล บีย่า
สำรอง : ติโม ฮิลเดบรันด์, ซันนี่, มานูเอล แฟร์นานเดซ, ราอูล อัลบิโอล, นิโกล่า ซิกิซ, ฮาเวียร์ อริซเมนดี้, ดาบิด ซิลบา
ชาลเก้04: มานูเอล นอยเออร์, ราฟินญ่า, มลาเดน เคิร์ชตายิช, มาร์เซโล บอร์ดอน, ไฮโค เวสเตอร์มันน์, เจอร์เมน โจนส์, ฟาเบียน แอร์นส์ท, อิวาน ราคิติช, เมซุต โอซิล, ฮาลิล อัลตินท็อป, เควิน คูรานี่
สำรอง : มาธิอัส โชเบอร์, ปีเตอร์ โลเวนครานด์ส, เกรัลด์ อซาโมอาห์, ดาริโอ โรดริเกซ,การ์ลอส โกรสส์มุลเลอร์, เบเนดิคท์ โฮว์เดส, ซลาตัน บาจราโมวิช


(กลุ่ม บี)


โรเซนบอร์ก (นอร์เวย์) 0 - เชลซี (อังกฤษ) 4

สนาม :เลอร์เคนดัล สเตเดี้ยม


โรเซนบอร์ก ลงสนามพบ เชลซี จากอังกฤษ คู่นี้ยังมีความหายทั้งสองทีมต้องการชัยชนะเพื่อโอกาสเข้ารอบ โรเซนบอร์ก วางสเตฟเฟ่น อีเวอร์เซ่น ยืนค้ำแดนหน้า ส่วนสิงห์บลูส์ ได้ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา กลับมาฟิตลงล่าตาข่ายเป็นตัวเป้า โดยมี แฟร้งค์ แลมพาร์ด เดินเครื่องตรงกลาง


เริ่มเกมมาสามนาทีเชลซีมีลุ้นก่อน อเล็กซ์ เปิดเรียดจากแดนหลังมาถึง ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา พลิกตัวมายิงนอกกรอบเขตโทษลูกผ่านเสาออกหลัง


เกมรุกของเชลซียังเหนือกว่า และมาได้ประตูขึ้นนำสำเร็จนาที 8 โจ โคล กระชากจากกลางสนามเข้ามายิงตรงกรอบเขตโทษ ลาร์ส เฮิร์ชเฟลด์ ปัดออกมาเข้าทาง ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา กระหน่ำซ้ำด้วยขวาตาข่ายเกือบขาด 1-0 ของอาคันตุกะ


เจ็ดนาทีต่อมาเชลซียังบุกเข้าใส่ มิชาแอล เอสเซียง รับบอลตรงระยะ 30 หลา ก่อนเลี้ยงเข้ามายิงด้วยซ้าย ลาร์ส เฮิร์ชเฟลด์ ต้องออกแรงปัด


เกมเริ่มเป็นของเชลซีแบบชัดเจน นาที 20 ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์ กระชากจากกลางสนามไหลต่อให้ มิชาแอล เอสเซียง ในกรอบเขตโทษ ก่อนจะต่อไปถึง ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ยิงด้วยซ้ายเสียบเสาสองเป็น 2-0


มาถึงนาที 40 สกอร์บอร์ดขยับอีกครั้ง จากลูกฟรีคิกระยะ 30 หลา อเล็กซ์ วิ่งเข้ามาตะบันเต็มข้อลูกเรียดพุ่งเข้าเสียบตาข่าย เป็น 3-0 จนจบครึ่งแรก


เข้าสู่ครึ่งหลังยังเป็นเชลซี ที่ยังดาหน้าบุก และเกือบได้ประตูที่ 4 ในนาทีที่ 55 จากการที่มิชาแอล เอสเซียง ลิงยิงจากนอกกรอบเขตโทษ บอลพุ่งหาประตู แต่ลาร์ส เฮิร์ชเฟลด์ ยังทับบอลเอาไว้ได้


เป็นเชลซี นำ 4-0 จนได้ในนาทีที่ 73 จากการที่มิกาแอล เอสเซียง ลากบอลเข้าไปแล้วตัดสินใจซัดเต็มข้อเฮิร์ชเฟลด์ ต้องปัดบอลออกมาแต่มาเข้าทางโจ โคล ซ้ำง่ายๆ ตุงตาข่าย


เวลาที่เหลือเชลซี เน้นการครองบอล ขณะที่โรเซนบอร์ก เล่นแบบถอดใจ หมดเวลาการแข่งขันเชลซี บุกมาถล่ม 4-0 ผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ต่อไป


รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
โรเซนบอร์ก : ลาร์ส เฮิร์ชเฟลด์, เฟรเดริค สตัวร์, ยัสซูฟ โคเน่, วิดาร์ ริเซ็ธ, สเตฟเฟ่น อีเวอร์เซ่น, เพอร์ คิลยาน สเคลเบรด, อเล็กซานเดอร์ เต็ทเต, อับดู ราแซ็ค ตราโอเร่, บียอร์น ทอเร่ ควาร์เม่, มาเร็ค ซาปาร่า, มิคาแอล ดอร์ซิน
สำรอง : อเล็กซานเดอร์ ลุนด์ ฮานเซ่น, มิก้า ค็อปปิเน่น, คริสเตอร์ บาสม่า, โรอาร์ สตรานด์, โคนัน ดิดิเย่ร์ ยา, ออยวินด์ สตอร์ฟลอร์, อันเดรส นอร์ดวิค
เชลซี : คาร์โล คูดิชินี่, แอชลี่ย์ โคล, โคล้ด มาเกเลเล่, มิชาแอล เอสเซียง, แฟร้งค์ แลมพาร์ด, โจ โคล, ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา, ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์, จอห์น เทอร์รี่, อเล็กซ์, ชูเลียโน่ เบลเล็ตติ
สำรอง : เอ็นริเก้ ฮิราลิโอ, อังเดร เชฟเชนโก้, จอห์น โอบี มิเกล, เคลาดิโอ ปิซาร์โร่, เวย์น บริดจ์, ซาโลมง กาลู, ทาล เบน ฮาอิม


(กลุ่มซี)


แวร์เดอร์ เบรเมน (เยอรมัน) 3 - เรอัล มาดริด (สเปน) 2

สนาม :เวเซอร์สตาดิโอน (เบรเมน, เยอรมัน)


แวร์เดอร์ เบรเมน ทีมบ๊วยกลุ่มซี. เล่นในบ้านพบ เรอัล มาดริด จ่าฝูง โดยราชันชุดขาว ต้องการอีกเพียง 1 คะแนน จะผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกทันที ส่วน เบรเมน ต้องชนะ เพื่อรักษาความหวังในการลุ้นเข้ารอบให้มีอยู่ต่อไป


โธมัส ชาฟ เทรนเนอร์เบรเมน ต้องขาด ดีเอโก้ จอมทัพแนวรุกติดโทษแบน แต่ทีมได้ บูบาการ์ ซาโนโก้ กองหน้าทีมชาติไอวอรี่ โคสต์ วัย 24 หายเจ็บที่เท้า กลับมาลงสนามได้แล้วเช่นเดียวกับ แฟร้งค์ เบามันน์ มิดฟิลด์ตัวหลักหายเจ็บที่จมูกหัก ส่วน เรอัล มาดริด ส่ง รุด ฟาน นิสเตลรอย, ราอูล กอนซาเลซ กัปตันทีมเป็นตัวหลักแดนหน้า


ในครึ่งแรก นาทีที่ 5 แวร์เดอร์ เบรเมนได้ประตูนำ 1-0 จากลูกโยนมาจากฝั่งขวา บอลโดนไหล่ของ บูบาการ์ ซาโนโก้ ก่อนมาเข้าทาง มาร์คุส โรเซนเบิร์ก ยิงตุงตาข่าย และนาทีต่อมา เบรเมน ต้องเปลี่ยนเอา เคลเมน ฟริตซ์ แบ็กขวาออกจากสนาม เนื่องจากบาดเจ็บ โดยส่ง ดุสโก้ โตซิซ ลงเล่นแทน


นาที 14 เรอัล มาดริด ตามตีเสมอเป็น 1-1 โรบินโญ่ พาบอลขึ้นมาทางริมเส้นฝั่งซ้าย ก่อนพาบอลเข้ามาในเขตโทษ และยิงผ่าน คริสเตียน ฟานเดอร์ นายทวาเจ้าถิ่นเข้าไป


จากนั้น ทั้งสองทีมต่างเปิดเกมบุกสู้กันอย่างสนุก นาที 34 เจ้าถิ่นได้ลูกเตะมุม ดาเนี่ยล เยนเซ่น เปิดบอลให้ นัลโด้ เซนเตอร์ฮาล์ฟขึ้นโหม่งไปติด อีเกร์ กาซียาส นายทวารราชันชุดขาว


อย่างไรก็ตามนาที 40 เบรเมนนำ 2-1 มาร์คุส โรเซนเบิร์ก พาบอลขึ้นมาทางฝั่งขวา ก่อนโยนให้ บูบาการ์ ซาโนโก้ วอลเล่ย์เสียบสามเหลี่ยมอย่างสวยงาม จบครึ่งแรก แวร์เดอร์ เบรเมนนำ 2-1


ครึ่งหลังเกมของเบรเมนดีกว่านิดๆและก็มาได้ประตู 3-1 ในนาทีที่ 58 เป็นลูกที่กองหลังมาดริดสกัดไม่ดีบอลมาเข้าทางเอรอน ฮันท์ ซัดผ่านกาซิยาสเข้าไปอย่างงดงาม


เรอัล มาดริดไม่ยอมแพ้ไล่เป็น 2-3 ในนาทีที่ 71 จากการยิงของรุด ฟาน นิสเตลรอย จบเกมเบรเมนได้สามแต้มยังมีลุ้นเข้ารอบต่อไป


รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม
แวร์เดอร์ เบรเมน : คริสเตียน ฟานเดอร์ - เคลเมน ฟริตซ์, เพอร์ แมร์เตซัคเกอร์, นัลโด้, เพทรี่ พาซาเน่น - แฟร้งค์ เบามันน์ (กัปตันทีม) - ยูริก้า วรานเยส, ดาเนี่ยล เยนเซ่น, อารอน ฮันท์ - บูบาการ์ ซาโนโก้, มาร์คุส โรเซนเบิร์ก
สำรอง : นิโก้ เพลลาตซ์ (ผู้รักษาประตู), ดุสโก้ โตซิซ, คาร์ลอส อัลแบร์โต้, เควิน ชินด์เลอร์, เควิน อาร์ตมันน์, มาร์ติน ฮาร์นิค
เรอัล มาดริด : อีเกร์ กาซียาส - เซร์คิโอ รามอส, คริสตอฟ เมตเซลเดอร์, คเลแปร์ ลาเวรัน ลิม่า แฟร์เรยร่า เปเป้, มาร์เชโล่ วิเอยร่า ดา ซิลวา จูเนียร์ - โรบินโญ่, มาอามาดู ดิยาร์ร่า, เฟร์นานโด กาโก้, โฆเซ่ มาเรีย กูเตียร์เรซ กูตี - ราอูล กอนซาเลซ (กัปตันทีม), รุด ฟาน นิสเตลรอย
สำรอง : เยอร์ซี่ ดูเด็ค (ผู้รักษาประตู), ฟาบิโอ คันนาวาโร่, อาร์เยน ร็อบเบน, ฮาเวียร์ ซาวิโอล่า, ชูลิโอ บาปติสต้า, กอนซาโล่ อิกัวอิน, มิเกล ตอร์เรส

ส่วนผลคู่อื่นมีดังนี้



กลุ่มเอ

  • เบซิคตัส (ตุรกี) ชนะ มาร์กเซย (ฝรั่งเศส) 2-1


  • กลุ่มซี

  • ลาซิโอ (อิตาลี) แพ้ โอลิมเปียกอส (กรีซ) 1-2


  • กลุ่มดี

  • กลาสโกว์ เซลติก (สกอตแลนด์) ชนะ ชัคเตอร์ โดเนสท์ค (ยูเครน) 2-1

                       ขอบคุณ ข่าวดีๆ จากสยามกีฬา


  • เครดิต :
     

    ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
    กระทู้เด็ดน่าแชร์