เดอะค็อปในแอนฟิลด์พูดไม่ออกหลังหงส์แดงลิเวอร์พูลทีมรักเล่นแย่ที่สุดนัดหนึ่งในรอบหลายปีในบ้านตัวเองหลังต้องเป็นฝ่ายไล่ตามตีเสมอซันเดอร์แลนด์ 2-2 จากประตูของสตีเฟ่น เจอร์ราร์ดทำให้ 6 นัดเพิ่งชนะนัดเดียวมี 6 แต้มอยู่อันดับ 15 หนีตายกันต่อไป
พรีเมียร์ลีก
วันเสาร์ที่ 25 กันยายน 2553
ลิเวอร์พูล 2-2 ซันเดอร์แลนด์
ประตู : 1-0 เคาท์ น.5,1-1 เบนท์ น.24(จุดโทษ),1-2 เบนท์ น.47,2-2 เจอร์ราร์ด น.64
รอย ฮอดจ์สันกุนซือมหาชนเรียกตัวหลักกลับมาลงสนามอย่างพร้อมเพรียงโดยยังใช้ระบบ 4-2-3-1 ตามเดิมเพียงแต่ปรับให้โจ โคลโยกไปเล่นปีกซ้ายแล้วให้ราอูล เมเรเลสยืนหลังเฟร์นานโด ตอร์เรส
ที่ฮือฮาคือเดิร์ก เคาท์กลับมาอย่างเซอร์เพรซ์หลังเจ็บหัวไหล่จากทีมชาติยืนปีกขวาหน้าตาเฉย
ด้านซันเดอร์แลนด์ส่งตัวเขี้ยวๆลงเต็มสูบทั้งสตีด มัลบร็องก์,ดาร์เรน เบนท์,รวมทั้งมีลี คัตเตอร์โมลแข้งจอมโหดลงยืนคุมแดนกลางฟัดกับสตีเฟ่น เจอร์ราร์ดอีกด้วย
ครึ่งแรก
หงส์มาโคตรดุ
เริ่มเกมมาหงส์แดงต่อบอลเคาะบอลวูบวาบน่าปลื้มใจทั้งเจอร์ราร์ด,โคลหล่อ,เมเรเลสและเดิร์ก เคาท์โดยนาทีที่ 3 เจอร์ราร์ดเปิดฟรีคิกหน้าเขตโทษย้อยให้ตอร์เรสสอดมาพักอกในเขตโทษก่อนยิงตูมเดียวเผาขนเข้าไปไม่เหลือแต่ไลน์แมนยกธงล้ำหน้าก่อน จากภาพช้าก้ำกึ่งสุดๆแต่กล้องอังกฤษรีบจับภาพไปที่ไลน์แมนทันทีนั่นหมายความว่าเป็นการฟ้องด้วยภาพคือไม่ล้ำนั่นเอง
ฮาโคตรหงส์นำ 1-0 ประตูเหลือเชื่อ!!
แต่นาทีที่ 5 หงส์แดงเกิดเรื่องประหลาดที่สุดครั้งหนึ่งในวงการฟุตบอลเมื่อซันเดอร์แลนด์ได้ฟรีคิกในแดนตัวเองแล้วนักเตะเจ้าถิ่นก็ถอยร่นจะไปตั้งรับแล้วบังเอิญเทอร์เนอร์ที่ยืนตัวสุดท้ายก็เขี่ยบอลเบาๆกลับหลัง(บอลนิ่งแล้ว)และเป็นตอร์เรสที่จมูกไวรีบวิ่งไปเอาบอลพร้อมกับทำมือฟ้องไปในตัวว่าแมวดำเล่นแล้วแต่สัญชาตญาณนักเตะระดับโลกทำให้เอล นินโญ่ยังไม่หยุดเล่นซะทีเดียวแต่ไหลบอลให้เคาท์ที่โคตรขยันวิ่งมาแปผ่านมิกโนเลตนายทวารเจอรุมกินโต๊ะ 2 ต่อ 1 ฮากันไป พอเข้าไปแล้วเคาท์ดีใจส่วนนักเตะซันเดอร์แลนด์ไปประท้วงก่อนกรรมการดาวรุ่งสจ๊วต อัตต์เวลล์วิ่งไปปรึกษากับไลน์แมนก่อนชี้สัญญาณให้หงส์แดงได้ประตู เป็นช่วงเวลาสุดระทึกของเดอะค็อปอย่างแท้จริง
หงส์แผ่วแมวฮึด
เกมของลิเวอร์พูลเนือยๆลงจนปล่อยให้ซันเดอร์แลนด์ได้บุกมาบ้างและนาที 15 เทอร์เนอร์คนพลาดลูกแรกเติมเกมรุกวอลเลย์ตามน้ำบอลแหกข้ามคานออกไปเอง
หัวขิงเกือบทำพัง
อีก 3 นาทีต่อมาเจอร์ราร์ดเกือบทำงานเลี้ยงกร่อยหลังไปโขกคืนหลังเบาสุดๆทำให้เบนท์หลุดเดี่ยววิ่งควบเข้าเขตโทษยังดีที่เรน่าออกมาเร็วปั๊มสกัดรอดตายเหลือเชื่อ หัวขิงเคยจ่ายบอลคืนหลังจนเธียร์รี่ อองรีฉกไปยิงมาแล้วในอดีต
เมเรเลสได้โอกาสซัด
การต่อบอลของลิเวอร์พูลเริ่มไหลลื่นโดยมีโจ โคลเป็นตัวจุดประกายตลอดและนาที 21 เคาท์ไหลให้เมเรเลสยิงเร็วนอกเขตโทษแต่ออกแนวเฉือนๆบอลเลยไม่แรงเข้ามือมิกโนเลตสบายๆ
หงส์เงิบเสียจุดโทษ 1-1
อย่างไรก็ตามนาที 24 โพลเซ่นพลาดไปบล็อกบอลเปิดจากริมขอบโทษไปถูกแขนเสียจุดโทษเป็นดาร์เรน เบนท์วิ่งซอยเท้ายิกๆอัดเกือบตรงตัวเรน่าที่ล้มตัวพุ่งถูกแล้วแต่บอลลอดตัวตุงตาข่ายเข้าไปไม่เหลือ 1-1 แล้ว
หงส์ชักเป็นรอง
เกมของหงส์แดงแปลกๆเพราะดูเหมือนตั้งรับบ่อยเกินและเสียทั้งฟรีคิกทั้งเตะมุมให้แมวดำได้เข้าทำอย่างต่อเนื่องโดย 5 นาทีหลังทีมเยือนครองบอลมากถึง 77 % แถมเสียพอล คอนเชสกี้ที่สไลด์ผิดท่าโดนเปลี่ยนออกให้ดาเนี่ยล แอกเกอร์ลงแทน
เจ้าถิ่นค้นหาสัญญาณอยู่
โอกาสง้างเท้าเกือกยิงของลิเวอร์พูลหายไปนานมากเรียกว่าเกมเป็นรองและไม่ได้เหนือกว่าทำให้แฟนบอลนั่งเงียบเกร็งกันทั้งสนามและรูปเกมการทำชิ่งต่อบอลของนักเตะซันเดอร์แลนด์เริ่มแสดงให้เห็นว่าเหนือกว่ามากขึ้นเรื่อยๆ
หมดครึ่งแรกเป็นซันเดอร์แลนด์ที่ทำได้ดีกว่าส่วนลิเวอร์พูลยังมีครึ่งแรกที่น่าผิดหวังเหมือนทุุกๆนัดที่มักมาเล่นดีครึ่งหลัง
ครึ่งหลัง
หงส์กลับมาใหม่เกือบเสียจุดโทษ
เล่นมา 40 กว่าวินาทีลิเวอร์พูลเกือบโดนอีกหลังลูกวางยาวแล้วโหม่งเช็ดเป็นเวลเบ็ควิ่งควบเข้าเขตโทษแล้วเรนี่ปรี่ออกมาชนล้มกลิ้งก่อนบอลออกเส้นหลัง โชคดีไมีเสียจุดโทษ
ค็อปช็อก!ตามหลัง 2-1
แต่แล้วนาที 47 ลิเวอร์พูลเสียท่าตามหลังจริงๆซะแล้วจากลูกเปิดทางปีกขวาของโอนูฮาบอลเลยมาเสาสองก่อนเบนท์โขกจ่อๆเข้าไปไม่เหลือ 2-1 แล้ว จังหวะนี้แอกเกอร์หุบลึกไปนิดเลยเข้าประกบริมเส้นหลวม
หงส์เกือบโดนลูก 3
นาที 53 เกมของลิเวอร์พูลกลายเป็นบอลอะไรไม่รู้เละเทะไปหมดขนาดได้ฟรีคิกในกรอบตัวเองเป็นเรน่ารีบร้อนเตะเลยเจอหวดยิงไกลยังดีมารับทันแถมคัตเตอร์โมลยิงไกลเฉี่ยวเสาหวิดเน่ากันอีก
แมวเหนือชั้น
ต้องบอกว่าตอนนี้ซันเดอร์แลนด์เหนือชั้นกว่ามากต่อบอลเคาะบอลเหมือนคนละระดับและนักเตะหงส์แดงต้องวิ่งไล่เป็นลิงเกมรุกไม่ได้บุกเลย
มัลบร็องก์ยิงไกลไม่เข้า
นาที 61 ลิเวอร์พูลแงะบอลออกมาจากแดนตัวเองไม่ได้เพราะเจอบีบเร็วและมัลบร็องก์ยิงไกลนอกเขตโทษบอลหลุดกรอบออกไป
โคลหล่อยิงไม่ได้ลุ้น
โอกาสยิงครั้งแรกของหงส์แดงในครุึ่งหลังเป็นนาที 63 จากจังหวะโจ โคลพลิกซัดหน้าเขตโทษแต่บอลปลิ้นหลุดกรอบออกไปเอง
หัวขิงฮีโร่ตีเสมอ 2-2
แต่เกมที่เป็นรองมานานอยู่ดีๆลิเวอร์พูลกลับตีเสมอได้หลังจังหวะสวนกลับตอร์เรสพลิกหนีบรัมเบิ้ลตรงริมเส้นก่อนกระชากเปิดบอลจากเส้นหลังแล้วไปแฉลบของกองหลังแมวดำเลยมาเข้าหัวเจอร์ราร์ดที่ขวิดเข้าไปเลย 2-2 แล้ว
หงส์ชุดใหญ่เกือบเฮ
นาที 76 ลิเวอร์พูลเกือบนำหลังเนือยไปอีกแล้วเป็นจังหวะที่เอ็นก็อกรับบอลจากโจ โคลแล้วลากตัดตรงหน้าเขตโทษก่อนยิงยัดมิกโนเลตล้มตัวปัดบอลกระฉอกไปเข้าทางโจ โคลที่วิ่งมายิงเต็มๆติดบล็อกจากนั้นลูกต่อเนื่องตอร์เรสได้วอลเลย์ในเขตอีกแต่แฉลบกองหลังเข้ามือผู้รักษาประตู เป็นการกดดันที่หนักหน่วงที่สุดในเกมนี้ของลิเวอร์พูลเลยทีเดียว
หงส์ดีขึ้นแต่ยังล่ก
ท้ายเกมลิเวอร์พูลเริ่มต่อบอลทำเกมได้เนียนมากขึ้นแต่ก็ยังมาตายจังหวะสุดท้ายกันเองอยู่บ่อยๆและต้องระวังเมื่อสวตีฟ บรูซส่งกิยานหอกค่าตัวแพงสถิติสโมสรแมวดำมาเล่นลูกหัวหวังปิดกล่องกันแล้ว
เจ้าถิ่นมีลุ้น 2 หนแต่พลาดหมด
ก่อนหมดเวลา 3 นาที GJ เกือบเป็นฮีโร่หลังเก็บตกบอลหน้ากรอบเขตโทษแล้วทำท่าจะส่องด้วยขวาแต่ล็อกแล้วยิงซ้ายบอลบดออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย
และอีกไม่ถึงนาทีเจอร์ราร์ดไหลบอลทะลุช่องให้เคาท์หลุดไปเปิดบอลจากริมกรอบเขตโทษมาเสาแรกเป็นเอ็นก็อกนอนขวิดเน้นๆบอลหลุดกรอบไปเยอะ แฟนหงส์ลุกลุ้นจนหัวใจจะวายคาสนามกันเลยทีเดียว
หงส์ชวดประตูชัยเจอเคลียร์บนเส้น
ทดเจ็บนาทีที่ 4 ลิเวอร์พูลน่าได้ประตูชัยอย่างที่สุดหลัง GJ เปิดบอลด้วยอีซ้ายล้นไปเสาสองแล้วเอ็นก็อกโขกตั้งมาที่ระยะเผาขนให้แอกเกอร์กำลังสไลด์ยิงจ่อๆแต่เทอร์เนอร์ก็หวดทิ้งบนเส้นเอาเตะมุม ไม่น่าเชื่อว่าไม่เข้า
นาที 97 หงส์ชวดช็อกอีก
ทดเจ็บเลยเถิดมายาวเพราะเจ็บกันเยอะและจังหวะสาดเข้าเขตโทษของโจ โคลบอลโขกเช็ดของเอ็นก็อกมาถึงแอกเกอร์ที่ยืนโล่งๆคนเดียว 6 หลาแต่กลับโหม่งเช็ดออกข้างเสาไปซะงั้น ช็อกทดเจ็บกันไป
หมดเวลาแฟนลิเวอร์พูลทำใจไม่ได้เสมอซันเดอร์แลนด์ในแบบน่าแพ้ทำให้ซีซั่นนี้เตะมาแล้ว 6 นัดเพิ่งชนะนัดเดียวเท่านั้น
รายชื่อนักเตะทั้งสองทีม
ลิเวอร์พูล : โฆเซ่ เรน่า,เกล็น จอห์นสัน,เจมี่ คาร์ราเกอร์,มาร์ติน สเคอร์เทล,พอล คอนเชสกี้,คริสเตียน โพเซ่น,สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด,เดิร์ก เคาท์,ราอูล เมเรเลส,โจ โคล,เฟร์นานโด ตอร์เรส
ซันเดอร์แลนด์ : ไซมอน มิกโนเลต,เนดัม โอนูฮา,ไมเคิ่ล เทอร์เนอร์,ไตตัส บรัมเบิ้ล,ฟิลิป บาร์ดสลีย์,อาเหม็ด เอลโมฮามาดี้,จอร์แดน เฮนเดอร์สัน,ลี คัตเตอร์โมล,สตีด มัลบร็องก์,แดนนี่ เวลเบ็ค(กิยาน น.82),ดาร์เรน เบนท์