หงส์แดงหรือเป็ดกระเด้าลม
ความจริงก็คือลิเวอร์พูล ได้หลุดจากคำว่า ท็อปโฟร์ ทั้งในเรื่องของ อันดับ และ สถานะ ไปแล้ว
ผลเสมอ 0-0 ในเกมกับ ฟูแล่ม ในนัดล่าสุดน่าจะทำให้แฟน หงส์แดง ทุกคนรู้ตัวว่าควรจะเลิกหลอกตัวเองและทำใจยอมรับกับผลลัพภ์ของฤดูกาลที่ล้มเหลวในปีนี้
แน่นอนว่าเจ็บปวด แต่ก็ต้องทำใจยอมรับให้ได้เพื่อจะก้าวเดินต่อไป จะได้กลับมายืนอยู่ ณ ที่ที่เคยยืนอยู่อย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
สถานการณ์ของทีมหงส์แดงในเวลานี้ เป็นเรื่องที่ผิดความคาดหมายจากช่วงต้นฤดูกาลอย่างมาก เพราะก่อนจะออกสตาร์ทฤดูกาล ลิเวอร์พูล มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าปีนี้น่าจะเป็น ปีทอง เสียที หลังจากที่แสดงให้เห็นถึงลูกอึด
ความเด็ดขาด ความเหี้ยมเกรียม และคุณสมบัติของแชมป์หลายๆประการออกมาให้เห็น โดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาลที่แล้วที่ขับเคี่ยวกันอย่างถึงพริกถึงขิง
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ลิวอร์พูล หลุดวงโคจรลุ้นแชมป์ตั้งแต่ 2 เดือนแรกของฤดูกาล จากนั้นอีก 2 เดือนตกรอบยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และล่าสุดหลุดวงโคจรจากการเป็นทีมท็อปโฟร์ด้วย โดยมีโอกาสประสบความสำเร็จแค่รายการเดียวคือ ยูโรป้า ลีก ที่ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศในฤดูกาลนี้
ปัจจัยเหตุแห่งความล้มเหลวของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสภาพความพร้อมของทีมที่้ด้อยกว่าในฤดูกาลที่แล้วอย่างชัดเจน การขาดชาบี้ อลอนโซ่ ทำให้ระบบการเล่นพังพินาศ ต่อด้วยปัญหานักเตะบาดเจ็บ นักเตะฟอร์มตก และการตัดสินใจที่ผิดพลาดของตัวผู้จัดการทีมอย่าง ราฟา เบนิเตซเอง
ในขณะที่ตัวเองสะดุดขาล้มคว่ำ คู่แข่งทั้ง แมนฯ ซิตี้, สเปอร์ส และ แอสตัน วิลล่า ก็เร่งสปีดตามมาจนทัน และสามารถแซงหน้าไปได้ในเวลานี้
ลำพังถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นอยู่นั้น เป็นเรื่องของ อันดับ มันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจนัก เพราะการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นบางตำแหน่ง หรือเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีม ก็จะทำให้อะไรๆมันดีขึ้นได้
แต่สิ่งที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็คือ สถานะ ของทีมที่ตกต่ำลงอย่างมาก จนแทบจะกล่าวได้ว่าทุกวันนี้ใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วย บุญเก่า อย่างแท้จริง
บุญเก่าที่มีนักเตะดีๆอย่าง ตอร์เรส, เจอร์ราร์ด, เรน่า, คาร์ราเกอร์, แอกเกอร์ และมาสเชราโน่ ค้ำทีมไว้ ทำให้ทีมไม่แย่ไปมากกว่านี้
แต่เวลานี้บุญเก่าก็ค้ำบัลลังก์ไว้ไม่ไหวแล้ว เมื่อไม่มีการเติมบุญใหม่ๆเข้ามาจากทางด้าน 2 เจ้าของสโมสร ทอม ฮิคส์ และ จอร์จ จิลเล็ตต์ ที่ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยแม้แต่น้อยนับตั้งแต่เข้ามาเทคโอเวอร์ต่อจาก เดวิด มัวร์ส เมื่อ 3 ปีก่อน
ผลงานของดูโอมะกันที่แฟนบอลได้ชื่นใจก็คือ การผิดสัญญากู้เงินธนาคารมาเพื่อซื้อสโมสรโดยโยนภาระให้แก่สโมสร ทั้งที่ก่อนจะเทคโอเวอร์ก็ออกมาโม้อย่างดิบดีว่าจะไม่ทำตัวอย่างตระกูลเกลเซอร์ ที่กู้เงิน 800 ล้านปอนด์เพื่อเทคโอเวอร์แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนทำให้ทีมอันดับหนึ่งของโลกในเชิงการตลาดต้องแปรสภาพจากมหาเศรษฐีเป็นลูกหนี้ชั้นดีในชั่วพริบตา
สำหรับเรื่องการกู้เงินมาเทคโอเวอร์นั้นต้องเท้าความให้หายข้องใจว่า จิลเล็ตต์ ต้องการจะเทคโอเวอร์แต่ไม่มีทุนมากพอจึงไปชักชวน ฮิคส์ มาร่วมลงทุนด้วย และทั้งสองได้กู้เงินจากธนาคารมาจำนวน 215 ล้านปอนด์เพื่อใช้ทำการเทคโอเวอร์ต่อจากเดวิด มัวร์ส อดีตประธานสโมสรที่ถือหุ้น 51%ในเวลานั้น ก่อนจะกวาดหุ้นที่เหลือจากผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่นๆ ในขั้นนี้หนี้สินยังเป็นภาระของดูโอมะกัน
แผนการแรกที่ จิลเล็ตต์ และฮิคส์ จะทำก็คือการสร้างสนามใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ มัวร์ส ทำไม่ได้และไม่สามารถแข่งขันในธุรกิจฟุตบอลที่ร้อนแรงและรุนแรงขึ้นมากได้ ซึ่งในทีแรกก็มีการออกแบบสนามใหม่กันใหญ่โต วิจิตรตระการตามาก จนงบประมาณขยับสูงไปถึง 500 ล้านปอนด์
แต่ที่สุดแล้วแผนการก็ไม่คืบหน้าเพราะโครงการล่าช้าทุกขั้นตอน อีกทั้ง ฮิคส์ และ จิลเล็ตต์ ก็ไปขอทำรีไฟแนนซ์ใหม่ทำให้ตัวเลขหนี้สินเพิ่มสูงเป็น350 ล้าน ตรงนี้เองที่มีการผลักภาระหนี้สินมาให้สโมสร โดยดูโอมะกันพยายามจะโยนให้เป็นภาระของสโมสรทั้งหมด แต่ว่า ริค แพร์รี่ อดีตซีอีโอไม่ยอม มีการต่อรองจนลิเวอร์พูล แบกรับภาระหนี้สินในนามของสโมสร 105 ล้านปอนด์
ทว่าในเชิงพฤตินัยแล้วเวลาจ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคาร มันไม่ได้แยกกองด้วย เท่ากับเงินรายได้ของสโมสรหามาได้เท่าไหร่ก็ต้องเอาไปใช้หนี้มากเท่านั้น
ว่ากันว่าตัวเลขดอกเบี้ยของลิเวอร์พูล สูงถึงปีละ 30 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก และทำให้ทีมตกอยู่ใต้ความกดดันที่จะต้องเข้าไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก และเข้ารอบลึกๆให้ได้มากที่สุดเพื่อจะหาเงินมาจ่ายดอกให้เจ้าหนี้ ทำให้ทีมค่อยๆขาดสภาพคล่อง งบประมาณในการทำทีมที่เดิมก็ไม่ได้มากอยู่แล้วถูกตัดลดลงไปเรื่อยๆ
จนถึงนาทีนี้ ราฟา เบนิเตซ กล่าวอย่างภาคภูมิใจในการบริหารทีมลิเวอร์พูล ว่าไม่มีงบประมาณในการทำทีมเลยแม้แต่น้อย และการจะซื้อนักเตะใหม่ก็จะต้องเน้นของ ฟรี เป็นหลัก และจะอยู่ในสภาพนี้ต่อไปจนกว่าทีมจะมีนายทุนเข้ามาแบ่งซื้อหุ้นจาก จิลเล็ตต์ และ ฮิคส์
นี่คือความจริงที่น่าเจ็บปวดของอดีตมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของอังกฤษทีมนี้
ทั้งนี้การพลาดไม่ได้ไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ของลิเวอร์พูล ถูกมองว่าจะเป็น หายนะ ของทีมเพราะอาจจะทำให้ต้องยอมขายซูเปอร์สตาร์บางคนออกไปเพื่อหาเงินมาประทังสโมสร โดยถูกมองกันว่าจะเป็น ตอร์เรส หรือไม่ก็เจอร์ราร์ด ที่คาดว่าจะขายทำเงินได้ราว 30-40 ล้านปอนด์ต่อคน
อย่างไรก็ตาม กระแสข่าวล่าสุด สถานการณ์กำลังจะพลิกผันไปอีกทาง เมื่อทางด้าน จิลเล็ตต์ และ ฮิคส์ ได้เตรียมที่จะประกาศขายสโมสรออกไป โดยจะไม่เป็นการขายหุ้นก้อนเล็กเพื่อหวังเงิน 100 ล้านปอนด์มาใช้ขับเคลื่อนและสร้างสภาพคล่องของสโมสร
ที่จะขายคราวนี้คือการขายหุ้นทั้งหมด เป็นการเทคโอเวอร์เต็มรูปแบบจากนายทุนกลุ่มใหม่
ความเคลื่อนไหวนี้สร้างความประหลาดใจให้วงการฟุตบอลอังกฤษ ว่าเกิดอะไรขึ้นนายทุนหน้าเลือดทั้งสองถึงยอมปล่อย สมบัติ ที่พยายามยึดถือเอาไว้นาน (ทั้งสองขายกิจการทีมกีฬาในสหรัฐฯไปหมดแล้ว) เพราะมองว่า ลิเวอร์พูล คือแหล่งขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าจากชื่อเสียง และฐานแฟนบอลทั่วโลก
เบื่องหลังก็คือทางด้านธนาคาร RBS ได้บีบทั้ง จิลเล็ตต์ และ ฮิคส์ ที่อยู่ในฐานะลูกหนี้ให้ทำการขายหุ้นไปเสีย โดยได้เริ่มแทรกแซงด้วยการส่ง คนใน เข้ามานั่งเก้าอี้ประธานสโมสร
เหตุผลของ RBS ก็คือ ทั้งคู่รวมถึงทีมลิเวอร์พูลเอง ดูไม่น่าจะมีศักยภาพพอที่จะชำระหนี้สินไหว และกระบวนการหาทุนใหม่ 100 ล้านปอนด์ (ซึ่งก็เป็นทาง RBS ที่กดดันเมื่อปีกลาย เป็นหนึ่งในเงื่อนไขการรีไฟแนนซ์รอบสอง) ก็ล่าช้าไปมากแล้ว
เรื่องนี้นักวิเคราะห์มองว่าน่าจะเป็น ข่าวดี ของลิเวอร์พูล มากกว่า ข่าวร้าย
เพราะแม้ทีมจะตกที่นั่งลำบากและยังมองไม่เห็นอนาคต แต่ยังมีความเชื่อกันว่ากลุ่มทุนใหม่ที่จะเข้ามาซื้อหุ้นนั้นน่าจะมีอนาคตดีกว่าดันทุรังอยู่กับนายทุนกระเป๋าแห้งและหน้าเลือดอย่าง ฮิคส์-จิลเล็ตต์ต่อไป
แน่นอนว่า The future's not ours to see ถ้าได้นายทุนกระเป๋าหนักเหมือนอย่าง แมนฯ ซิตี้ ที่ได้ทุนจากอาบูดาบี โอกาสที่ ลิเวอร์พูล จะกลับมาทวงความยิ่งใหญ่มันก็ง่าย
บุญเก่านั้นมีอยู่แล้ว บุญใหม่เข้ามาเสริมก็จะยิ่งดีมากขึ้น
ที่แน่ๆคือ นักวิเคราะห์มองว่าเมื่อเป็นเหลี่ยมนี้ ก็ไม่น่าจะมีการบังคับขาย ตอร์เรส หรือเจอร์ราร์ด รวมถึงแกนนำนักเตะคนอื่นๆออกไปเพื่อหาเงินอีก และเป็นไปได้ที่นายทุนใหม่จะต้องพยายามเอาใจแฟนบอลด้วยงบประมาณการทำทีมก้อนใหญ่ ที่ราฟา หวังไว้ถึง 60 ล้านปอนด์
หรือสำหรับแฟนบอลที่เบื่อ ราฟา ก็อาจจะได้คนใหม่อย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ หรือกุนซือมือดีคนอื่นๆเข้ามาคุมทีมได้เหมือนกัน
สำหรับกระบวนการบีบให้ขายหุ้นจะใช้เวลาอีกราว 6 เดือนนับจากนี้ สำหรับเดอะ ค็อป ก็คงจะต้องนั่งภาวนากันต่อไป
ขอให้ บุญรักษา หงส์แดงด้วย ....