ต้องบอกว่าเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดการพลิกล็อคระนาวขึ้นกับพรีเมียร์ลีก
แมนฯยูแพ้,สเปอร์สก็แพ้ ส่วนเชลซีกับแมนฯซิตี้ทำได้แค่เสมอ ซึ่งจัดว่าเป็นผลการแข่งขันที่พลิกล็อคมาก
แต่สำหรับคู่ปิดท้ายระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ อาร์เซน่อล ไม่น่าจะเรียกว่าพลิกโผแต่อย่างใด!
เพราะเป็นการพ่ายแพ้ด้วยรูปแบบเดิมๆอีกครั้งของลิเวอร์พูล คือนำก่อน แต่ว่าสุดท้ายตายตอนจบ
ฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูล แพ้แบบนี้บ่อยมาก และถือเป็นเกมที่มีความสำคัญด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะกับเกมพ่ายลียงคาบ้านใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่มีส่วนสำคัญทำให้พวกเขาต้องตกรอบแบ่งกลุ่มเป็นครั้งแรก ในยุคของราฟา เบนิเตซ
การแพ้ลักษณะนี้แสดงให้เห็นว่า ทีมมีปัญหาอย่างมากโดยเฉพาะกับเรื่องของการประสานงานหรือว่าทีมเวิร์ค
ปกติบอลที่นำเขาอยู่ จะมีข้อเสียตรงที่นักเตะในทีมจะต้องทำงานกันหนักขึ้น โดยเฉพาะกับในส่วนของเกมรับ เนื่องจากคู่ต่อสู้จะต้องเน้นเกมรุกมากขึ้น
และภาพที่เราเห็นกันอยู่เป็นประจำคือ ลิเวอร์พูล มักจะบุกไม่ขึ้น หรือว่าไม่บุก เมื่อทีมเป็นฝ่ายขึ้นนำก่อน
ผมเห็นลิเวอร์พูล เล่นแบบนี้มาโดยตลอด บางทีพวกเขาอาจจะชินกับสไตล์การเล่นแบบเดิมๆที่เบนิเตซเคยวางเอาไว้ คือเน้นเกมรับเพื่อรักษาสกอร์ที่นำไว้ให้ได้ ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของลิเวอร์พูล ในเกมยุโรปยุครุ่งเรือง
แต่ว่าลิเวอร์พูล ชุดปัจจุบัน ไม่ได้มีแนวรับที่เหนียวหนึบเหมือนเมื่อก่อน ด้วยเหตุผลหลายประการ โดยเฉพาะกับสภาพความพร้อมของผู้เล่น
ปัจจุบันแนวรับของลิเวอร์พูล เป็นการผสมผสานกันระหว่าง สายเลือดใหม่กับคนเก่าคนแก่ที่ใกล้จะปลดระหว่าง ซึ่งดูแล้วเป็นการผสมกันที่ไม่ลงตัว
ปกติเรื่องการผสมระหว่าง เลือดเก่ากับเลือดใหม่ในทีมฟุตบอลถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่จะเป็นผลร้ายทันที ถ้าเกิดเป็นการผสมที่ไม่ลงตัว
จอห์นสัน และอินซัว เป็นสองแนวรับเลือดใหม่ที่เป็นแกนหลักของทีมในฤดูกาลนี้ ซึ่งการเล่นของทั้งคู่เห็นได้ชัดว่า ยังเป็นจุดอ่อนของทีมอยู่มาก
จุดด้อยของสองคนนี้ที่เห็นชัดก็คือเกมรับ ซึ่งในสภาพที่ทีมมีเกมรับไม่ดีอยู่แล้ว ยิ่งทำให้การเล่นของทั้งคู่ดูเป็นจุดอ่อนมากขึ้น
ถ้าแบ็คมีปัญหาในการเล่นเกมรับ จำเป็นที่คู่เซ็นเตอร์ฮาร์ฟจะต้องเก่ง และรวดเร็ว เพื่อมาคอยอุดรอยรั่วจากแบ็คทั้งสองข้าง
แต่ว่าคู่เซ็นเตอร์ของหงส์แดง ดันมากลายเป็นจุดอ่อนของทีมไปด้วย
พูดไปก็เหมือนกับการเอาของเก่ามาเล่าใหม่ เพราะเซ็นเตอร์ฮาร์ฟสามคนที่ใช้หมุนเวียนกันอยู่ในตอนนี้ ไม่มีใครฟอร์มดีเลยสักคน
คาราเกอร์ช้าลงไปตามวัย ในขณะที่แอกเกอร์ทางดี แต่ไม่ค่อยแข็งแกร่ง
ส่วนสเคอร์เทล ก็มีคุณสมบัติที่ตรงกันข้ามกับแอกเกอร์ คือแกร่ง แต่ทางบอลไม่ดี
ดูจากคุณสมบัติของทั้งสามคนแล้ว ทางเลือกที่ดีที่สุดตอนนี้น่าจะลองให้ แอกเกอร์ กับ สเคอร์เทล ได้ลองมาจับคู่กันดูบ้างถ้าหากมองไปที่อนาคต
แต่เบนิเตซ ยังไม่กล้าที่จะทิ้งคาราเกอร์ ในฐานะที่เป็นปูชนียบุคคลของสโมสร
ทางออกดูจะมีทางเดียวคือ ให้คาราเกอร์ เจ็บยาวไปเหมือนกับ ริโอ เฟอร์ดินานด์ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องความเกรงใจของเบนิเตซ เพราะถ้าหากยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป หงส์แดงก็คงจะบินต่ำลงเรื่อยๆ
สำหรับอาร์เซน่อล ต้องบอกว่าพวกเขาคว้าโอกาสอันสำคัญครั้งนี้เอาไว้ได้ เพราะชัยชนะนัดนี้ ทำให้โอกาสลุ้นแชมป์ลีกของพวกเขายังมีความเป็นไปได้อยู่
ในสถานการณ์ที่ทั้งเชลซี และแมนฯยู ต่างพากันเสียแต้มแบบพลิกล็อคอย่างนี้ อาร์เซนอลจำเป็นต้องคว้าสามแต้มเต็มจากเกมนี้ และพวกเขาก็ทำสำเร็จในสภาพที่ไม่มีกองหน้าอาชีพอยู่ในทีมชุดตัวจริงเลย
และยังเป็นการปราบทีมในกลุ่มบิ๊กโฟร์ด้วยกัน ลงได้เป็นครั้งแรกในฤดูกาลนี้ด้วย สำหรับเด็กของเวนเกอร์
ตรงนี้ต้องยกเครดิตให้กับเวนเกอร์ ที่สามารถจูนทีมของเขาซึ่งขาดกองหน้า ให้กลับมาเก็บชัยชนะได้อีกครั้ง หลังจากที่สะดุดไปพักใหญ่ หลังต้องขาดดาวยิงตัวเก่งอย่าง โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ รวมไปถึงนิคลาส เบนท์เนอร์ไป
อาร์เซน่อลยังมีเกมที่ค้างอยู่อีกหนึ่งนัด ซึ่งถ้าพวกเขาเก็บชัยชนะได้ ก็จะขยับขึ้นมาหายใจรดต้นขาสองทีมนำทันที
แต่น่าเสียดายที่พวกเขายังหาโอกาสลดช่องว่างตรงนั้นไม่ได้ เพราะว่าโปรแกรมที่วางอยู่ในตอนนี้ก็แน่นขนัด จนไม่เหลือช่องว่างอยู่แล้ว ซึ่งถือว่าน่าเสียดายที่พวกเขาไม่มีโอกาสกดดันทั้งเชลซี และแมนฯยูได้มากกว่านี้
อย่างไรก็ตาม คงต้องดูผลงานของเด็กปืนกันอีกทีในช่วงเดือนนี้ ไปจนกระทั่งถึงต้นปีใหม่ เพราะพวกเขาได้ชื่อว่ายังมีปัญหาในเรื่องของความคนเส้นคงวา
ถ้าพวกเขาผ่านช่วงนี้ไปได้ด้วยผลงานที่ดี เชลซี กับแมนฯยู คงหายใจกันไม่ทั่วท้องแน่!
No.10
|
|