ร็อบบี ฟาวเลอร์
เศร้าใจจังฟาวเลอร์เป็นขวัญคนหนึ่งที่ทำให้เชียร์ลิเวอร์พูล ยังจำลูกที่ยิงแสกหน้าชไมเคิลที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดได้ติดตาอยู่เลย ก้ากๆๆ

ร็อบบี ฟาวเลอร์
โรเบิร์ต เบอร์นาร์ด “ร็อบบี” ฟาวเลอร์ เกิดเมื่อวันที่ 9 เมษายน 1975 หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม “ก็อด” สำหรับแฟนบอลลิเวอร์พูล
ฟาวเลอร์ก้าวขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลครั้งแรกเมื่อปี 1993 โดยยิงได้ 120 ประตูในระยะเวลา 8 ปี ก่อนที่เค้าจะย้ายไปเล่นให้กับลีดส์ ยูไนเต็ดและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก่อนที่จะย้ายกลับมาเล่นให้ลิเวอร์พูลอีกครั้งในเดือนมกราคม 2006 โดยถึงขณะนี้ฟาวเลอร์ติดอันดับ 4 ของดาวยิงสูงสุดของพรีเมียร์ ลีกเป็นรองเพียง เธียร์รี อองรี, แอนดี โคล และ อลัน เชียร์เรอร์
สำหรับในระดับทีมชาติฟาวเลอร์ติดทีมชาติทั้งหมด 26 ครั้ง ยิงได้ 7 ประตู

ประวัติในการเล่นฟุตบอล
ลิเวอร์พูล
ฟาวเลอร์ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 มกราคม 1993 ในฐานะตัวสำรองในรายการเอฟเอ คัพที่พบกับโบลตัน โดยในปีนั้นฟาวเลอร์ช่วยให้ทีมชาติอังกฤษชุด U-18 คว้าแชมป์ U-18 ยูฟ่า แชมเปียนชิพได้อีกด้วย, เค้าทำประตูแรกให้กับลิเวอร์พูลได้ในเกมที่พบกับฟูแล่มในรายการโคคา-โคลา คัพ รอบแรกซึ่งลิเวอร์พูลชนะไป 3-1 เมื่อวันที่ 22 กันยายน 1993
ฟาวเลอร์ทำแฮตทริกแรกในการลงเล่นให้ลิเวอร์พูลได้ในเกมที่พบกับเซาแธมป์ตัน ซึ่งต่อมาเค้าถูกเรียกตัวให้ไปติดทีมชาติอังกฤษชุด U-21 ในเกมที่พบกับซาน มาริโน ในเดือนพฤศจิกายน 1993 โดยเค้าสามารถทำประตูได้ในเวลาเพียง 3 นาที
ในฤดูกาล 1994/95 ฟาวเลอร์ได้ลงเล่นถึง 57 เกมและมีส่วนที่ทำให้ลิเวอร์พลูคว้าแชมป์ลีก คัพมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยในฤดูกาลนี้ฟาวเลอร์สามารถสร้างสถิติให้กับตัวเองด้วยการเป็นนักเตะที่ทำแฮตทริกได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ ลีกเมื่อเค้าใช้เวลาเพียง 4 นาที 33 วินาที ในการยิง 3 ประตู ในเกมที่พบกับอาร์เซน่อล และในปีนั้นฟาวเลอร์ก็ได้รับรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของ PFA (ฟาวเลอร์ได้รางวัลนี้ 2 ครั้งในปี 1995 และ 1996)
ในปี 1997 ลิเวอร์พูลซื้อสแตน คอลลีมอร์จากน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ด้วยค่าตัว 8.5 ลป.เพื่อให้มาเป็นคู่ขาในแดนหน้าคนใหม่ของฟาวเลอร์ และทั้งคู่ก็สร้างผลงานได้ดี และแน่นอนในฤดูกาลนี้มีเกมสุดมันส์ที่จะอยู่ในความทรงจำของฟาวเลอร์แน่นอน เกมที่ชนะนิวคาสเซิล 4-3 เป็นอีกหนึ่งเกมที่ลิเวอร์พูลเล่นกันได้ดี โดยฟาวเลอร์และคอลลีมอร์ทำได้คนละ 2 ประตู
ในสมัยค้าแข้งให้ลิเวอร์พูล ฟาวเลอร์อยู่ในกลุ่มที่ถูกขนานนามว่า “สไปซ์ บอย” โดยมีที่มามาจากวงดนตรี “สไปซ์ เกิร์ล” โดยในกลุ่มประกอบด้วยนักเตะ 5 คน คือ ร็อบบี ฟาวเลอร์, เดวิด เจมส์, เจมี เรดแนปป์, สตีฟ แม็คมานามานและสแตน คอลลีมอร์
ฟาวเลอร์เริ่มฟอร์มตกเพราะอาการบาดเจ็บเรื้อรังในปี 1998 และการก้าวขึ้นมาของไมเคิ่ล โอเว่นในช่วงปี 1997 ก็ทำให้โอกาสของฟาวเลอร์ในถิ่นแอนฟิลด์ก็เริ่มค่อยๆไม่ชัดเจน
ในฤดูกาล 2000/01 ฟาวเลอร์ทำประตูได้ 17 ประตูจากการลงเล่น 48 เกม โดยในฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลคว้าทริปเปิล แชมป์บอลถ้วยคือ ลีก คัพ, เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า คัพมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ และจากการบาดเจ็บหนักของ เจมี เรดแนปป์ กัปตันทีมตัวจริง ทำให้ฟาวเลอร์ได้รับบทบาทในการเป็นกัปตันทีมของลิเวอร์พูล แต่การเข้ามาคุมทีมของเชรา อุลลิเยร์ทำให้โอกาสของฟาวเลอร์ในการลงสนามน้อยเกินไป เนื่องจากผู้จัดการชาวฝรั่งเศสเลือกที่จะใช้กองหน้าอย่างไมเคิ่ล โอเว่นและเอมิล เฮสกีย์มากกว่า ทำให้ปลอกแขนกัปตันทีมตกไปอยู่ที่ซามี ฮูเปียซะเป็นส่วนใหญ่
ฟาวเลอร์เป็นกัปตันทีมในเกมที่พบกับเบอร์มิงแฮม ซิตี้ในปี 2001 ในรอบชิงชนะเลิศลีก คัพ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ลิเวอร์พูลได้เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยอีกครั้งหลังจากลิเวอร์พูลเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1996 ในรายการเอฟเอ คัพโดยในเกมนี้ฟาวเลอร์สามารถยิงประตูสุดสวยให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำ 1-0 (ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะชนะจุดโทษ) และได้รับรางวัลแมน ออฟ เดอะ แมตช์ไปครองอีก 1 รางวัล
ในปี 2001 ในรอบชิงเอฟเอ คัพ ฟาวเลอร์ไม่ได้ถูกส่งลงสนามเป็นตัวจริงในการพบกับอาร์เซน่อล แต่เค้าถูกเปลี่ยนไปเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 77 โดยลงไปแทนวลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ในขณะที่ทีมตามอยู่ 0-1 ก่อนที่จะจบเกมด้วยการพลิกกลับมาชนะ 2-1 จาก 2 ประตูของไมเคิ่ล โอเว่น ในช่วงท้ายเกม โดยในเกมนั้นคนที่ขึ้นไปรับถ้วยเอฟเอ คัพคือ ซามี ฮูเปีย (กัปตันทีม) และ เจมี เรดแนปป์ (กัปตันทีมตัวจริง)
4 วันหลังจากทีมได้แชมป์เอฟเอ คัพ ลิเวอร์พูลก็มีโปรแกรมลงเล่นในศึกยูฟ่า คัพรอบชิงชนะเลิศกับเดปอร์ติโว อลาเวส (สเปน) โดยฟาวเลอร์ถูกส่งลงสนามในนาทีที่ 66 โดยลงไปแทนเอมิล เฮสกีย์ในขณะที่ทั้งสองทีมเสมอกัน 3-3 และฟาวเลอร์ก็สามารถทำประตูได้หลังจากถูกเปลี่ยนลงสนามในเวลา 5 นาที แต่จบเกมทั้งสองทีมเสมอกัน 4-4 ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะมาได้ประตูชัยในนาทีที่ 116 (โกลเดน โกล์) ทำให้ลิเวอร์พูลชนะเดปอร์ติโว อลาเวสไป 5-4 และเป็นร็อบบี ฟาวเลอร์กับซามี ฮูเปียที่ขึ้นไปรับถ้วยยูฟ่า คัพบนสแตนด์
ในฤดูกาลสุดท้ายที่ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ฟาวเลอร์สามารถทำแฮตทริกแรกในรอบ 3 ปีได้ในเกมที่ชนะเลสเตอร์ ซิตี้ 4-1 เมื่อเดือนตุลาคม 2001
ลีดส์ ยูไนเต็ด
ในขณะที่สถานการณ์ในทีมลิเวอร์พูลเริ่มไม่มั่นคงนักกับตำแหน่งตัวจริง และการถูกบีบให้ต้องย้ายทีมของเชรา อุลลิเยร์ทำให้หนังสือพิมพ์ ลิเวอร์พูล เอคโคลงข่าวว่าฟาวเลอร์อาจจะต้องย้ายออกจากทีม
และก็เป็นจริงเพราะหลังจากเกมที่ลิเวอร์พูลชนะเลสเตอร์ ซิตี้ 4-1 ผ่านไปได้เพียง 1 เดือน ฟาวเลอร์ก็ย้ายออกจากลิเวอร์พูลมายังลีดส์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 11 ลป. โดยในฤดูกาลแรกกับทีมยูงทอง ฟาวเลอร์ยิงได้ 12 ประตู จาก 23 เกม และช่วยให้ลีดส์ ยูไนเต็ดได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรปในรายการยูฟ่า คัพ รวมทั้งได้ติดทีมชาติอังกฤษไปร่วมในศึกฟุบอลโลกปี 2002 อีกด้วย โดยเค้าถูกส่งลงเล่นในฐานะตัวสำรองในเกมที่อังกฤษชนะเดนมาร์ก
ในฤดูกาล 2002/03 ฟาวเลอร์ได้รับบาดเจ็บในช่วงปรี-ซีซั่นทำให้ไม่ค่อยได้ลงเล่นให้ลีดส์ ยูไนเต็ดมากนัก เค้าได้ลงเล่นเพียง 10 เกม และทำได้ 2 ประตู ก่อนที่จะย้ายทีมอีกครั้ง
แมนเเชสเตอร์ ซิตี้
ในฤดูกาล 2002/03 ฟาวเลอร์ย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างเควิน คีแกน (ผู้จัดการทีม) และดาวิด เบิร์นสเตน (ประธานสโมสร) ซึ่งไม่ต้องการที่คว้าตัวฟาวเลอร์ แต่สุดท้ายฟาวเลอร์ก็ย้ายมาร่วมทีมแมนเเชสเตอร์ ซิตี้ด้วยค่าตัว 3 ลป. โดยฟาวเลอร์ได้ลงเล่นในฤดูกาลนั้นทั้งหมด 13 เกม ทำได้ 2 ประตู
ในฤดูกาล 2003/04 ฟาวเลอร์เริ่มกลับมาฟิตอีกครั้ง แต่เค้าก็ได้ลงเล่นเต็ม 90 นาทีเพียง 9 เกมเท่านั้น ในขณะที่อดีตเพื่อนร่วมทีมอย่าง สตีฟ แม็คมานามาน ก็ย้ายออกจากทีม รีล มาดริด มาร่วมทีมแมนเเชสเตอร์ ซิตี้เช่นกัน แม้ว่าฟาวเลอร์จะกลับมาฟิตอีกครั้งแต่จากผลงานในสนามที่ไม่สู้ดีนักทำให้เควิน คีแกนต้องลงจากตำแหน่งผู้จัดการทีมและเป็น สจ๊วต เพียร์ซที่ก้าวเข้ามารับตำแหน่งแทน
ฟาวเลอร์ลงเล่นเกมที่ 150 ในลีกพบกับ นอริช ซิตี้ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2005 ซึ่งแมนเเชสเตอร์ ซิตี้ชนะไป 3-2
ฟาวเลอร์กลับมามีปัญหาอาการบาดเจ็บหนักอีกครั้งในฤดูกาล 2005/06 ทำให้ได้ลงเล่นเพียง 5 เกม แต่ก็ทำได้ถึง 4 ประตู โดยเค้าได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมเอฟเอ คัพที่พบกับ สคันธอร์ป เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2006 ซึ่งเค้าสามารถทำแฮตทริกได้ ซึ่งจบเกมแมนเเชสเตอร์ ซิตี้ชนะไป 3-1
กลับสู่ลิเวอร์พูลอีกครั้ง
หลังจากไม่ได้อยู่ในแผนการทำมทีมของสจ๊วต เพียร์ซทำให้ไม่ค่อยได้ลงเล่นมากนัก ก็เป็นราฟาเอล เบนิเตซ (ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล) ที่คว้าตัวฟาวเลอร์กลับสู่แอนฟิลด์อีกครั้ง โดยย้ายกลับมาลิเวอร์พูลเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2006 แต่การย้ายกลับมาครั้งนี้เค้าไม่ได้สวมเสื้อเบอร์เก่งอย่างเบอร์ 9 เนื่องจากเบอร์นี้ถูกสวมใส่โดย ฌิบริล ซิสเซ่ ทำให้เค้าได้ใส่เบอร์ 11 และหลังจากบรรดาแฟนบอลทราบข่าวก็ทำแบนเนอร์หลากหลายแบบเพื่อต้อนรับขวัญใจของพวกเค้าที่กลับมาอีกครั้งอย่าง FOWLER, GOD, 11, WELCOME BACK TO HEAVEN ก่อนที่ในฤดูกาล 2006/07 ฟาวเลอร์จะกลับมาใส่เบอร์ 9 อีกครั้งหลังจากฌิบริล ซิสเซ่ย้ายไปร่วมทีมโอลิมปิก มาร์กเซยในสัญญายืมตัว
ฟาวเลอร์ลงเล่นนัดแรกในเกมที่พบกับเบอร์มิงแฮม ซิตี้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2006 และเค้ากลับมายิงประตูให้ลิเวอร์พูลอีกครั้งในเกมที่เปิดแอนฟิลด์พบกับฟูแล่ม เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2006 และยิงประตูได้อีกครั้งในเกมพบกับ เวสต์ บรอมวิช อัลเบียน ซึ่งทำให้เค้าทำสถิติเป็นดาวยิงสูงสุดแซงเคนนี ดัลกลิช (แต่ก็ยังเป็นรอง เอียน รัช อยู่) โดยในฤดูกาลแรกที่กลับมาเล่นให้ลิเวอร์พูลอีกครั้ง เค้าลงเล่นไปทั้งหมด 16 เกม ยิงได้ 5 ประตู
ในเดือนมีนาคม ฟาวเลอร์เริ่มกลับมาฟิตเพิ่มขึ้นอีกครั้งจนราฟาเอล เบนิเตซออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “ผมจะไม่มีทางขายร็อบบีออกจากทีม และหากเค้าฟิตและลงเล่นได้ดีแบบนี้ค่าตัวของเค้าต้องอยู่ที่ 10 ลป.เป็นอย่างน้อย”
25 ตุลาคม 2006 ฟาวเลอร์ได้กลับมาสวมปลอกแขนกัปตันทีมลิเวอร์พูลอีกครั้งในเกมที่พบกับเรดดิงในศึกลีก คัพ ซึ่งลิเวอร์พูลชนะไป 4-3
5 ธันวาคม 2006 ฟาวเลอร์สามารถทำประตูได้ในเกมยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกในเกมที่ออกไปเยือนกาลาตาซาราย เค้าได้ลงเล่นเต็ม 90 นาทีและยิงได้ 2 ประตู โดยเกมจบลงที่กาลาตาซารายชนะไป 3-2 (เป็นการยิงประตูให้ลิเวอร์พูลครั้งแรกในรอบ 6 ปี หลังจากประตูสุดท้ายเกิดในเกมที่พบ เอฟซี ฮากา)
24 กุมภาพันธ์ 2006 ฟาวเลอร์ทำได้ 2 ประตู (จุดโทษทั้งหมด) ในเกมที่พบกับเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด โดยเกมนั้นลิเวอร์พูลชนะไป 4-0 โดยอีก 2 ประตูเป็นผลงานของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ ซามี ฮูเปีย
1 พฤษภาคม 2006 ในรายการยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศนัดที่สอง ฟาวเลอร์ถูกเปลี่ยนตัวลงในช่วงต่อเวลาพิเศษ โดยเกมนั้นราฟาเอล เบนิเตซส่งเค้าลงไปเพื่อยิงจุดโทษแต่สุดท้ายเค้าก็ไม่ได้ยิงเนื่องจากทีมชนะเชลซี 4-1 (คาดว่า ฟาวเลอร์ น่าจะถูกวางตัวให้เป็นคนยิงคนที่ 5)
ฟาวเลอร์จะหมดสัญญากับลิเวอร์พูลหลังจบฤดูกาล 2006/07 โดยราฟาเอล เบนิเตซจะไม่ได้ยื่นสัญญาฉบับใหม่ให้ เฮ้อออ...
เกียรติประวัติและถ้วยรางวัลที่ได้รับ
กับสโมสรลิเวอร์พูล
1994/95 ลีก คัพ
2000/01 ลีก คัพ (แมน ออฟ เดอะ แมตช์)
2000/01 เอฟเอ คัพ
2000/01 ยูฟ่า คัพ
2001/02 ยูโรเปียน ซุปเปอร์ คัพ
รองแชมป์
1995/96 เอฟเอ คัพ
ทีมชาติอังกฤษ
1993 แชมป์ U-18 ยูฟ่า แชมเปียนชิพ
เกียรติประวัติส่วนตัว
1995 นักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของ PFA
1996 นักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของ PFA
นักเตะที่ทำแฮตทริกเร็วที่สุดในพรีเมียร์ ลีก (4 นที 33 วินาที ในเกมที่พบ อาร์เซน่อล, 28 สิงหาคม 1994)
เพื่อนสนิทที่สุดคือ สตีฟ แม็คมานามาน
Love Attack เทศกาลความรักแบบนี้ บอกอ้อมๆให้เขารู้กัน
Chocolate Dreams สาวชั่งฝันและช็อคโกแลต กับหนุ่มหล่อ ไม่แน่คุณอาจจะได้เจอแบบนี้ก็ได้
Love You Like Crazy เพลงเพราะๆ ที่ถ้าส่งให้คนที่เรารัก โลกนี้ก็สีชมพูกันทีเดียว