Mission Impossible
แต่มันก็เกิดขึ้นจริง ชนิดที่ต้องปรบมือให้กับความเก่งเหลือเชื่อครั้งนี้ด้วย
ลิเวอร์พูล ได้กลับมาแสดงให้เห็นอีกครั้งว่าพวกเขาเป็นทีมจอมมหัศจรรย์ตัวจริง ในวันที่ ตั้งใจ จะเล่นไม่ว่าจะทีมไหน ที่ไหน ก็สามารถเอาชนะได้ทั้งนั้น
แต่ถ้าวันไหนไม่ตั้งใจจะเล่นเต็มสูบ จะทีมไหน ที่ไหน ก็แพ้ได้ เสมอได้เหมือนกัน
โดยเฉพาะในฤดูกาลนี้ ยิ่งคิดมันก็ยิ่งดูน่าตลกเมื่อทีมเดียวกันนี้ที่สามารถชนะได้ทั้งแมนฯ ยูไนเต็ด, เชลซี, เรอัล มาดริด และสร้างปาฏิหารย์คัมแบ็กกลับมาชนะในช่วงท้ายเกมได้บ่อยครั้งในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก กลับไม่มีปัญญาจะเอาชนะทีมอย่างสโต๊ค, วีแกน หรือฮัลล์ได้
ตลกร้ายจริงๆ
แต่อย่างน้อยที่สุด การบุกไป ถล่ม ปีศาจแดงกระเจิงถึงหลุมนั้น ก็เป็นการปลุกความหวังครั้งใหญ่ในช่วงที่เหลือของฤดูกาลสำหรับลูกทีมของราฟาเอล เบนิเตซ
เหมือนกับครั้งแรกของฤดูกาลที่ชนะในเกมแดงเดือดได้ทำให้เกิด ความเชื่อ ว่ามันอาจจะถึงคราวของพวกเขาบ้าง
แม้ในเชิงลึกแล้ว มองกันตามภาพแห่งความเป็นจริงลิเวอร์พูล ก็ไม่ได้ถึงกับชนะอย่าง ขาดลอย ตามสกอร์ที่ปรากฏ เพราะพวกเขาไม่ได้เปิดฉากรุกไล่ต้อนตือชนิดที่แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องวิ่งกันขาขวิด และหลายครั้งก็มีอาการปั่นป่วนเมื่อโดนโหมหนักอยู่บ้าง
ลิเวอร์พูล ชนะในเกมนี้ด้วยสกอร์ขาดลอยขนาดนี้เพราะ จังหวะ มันเข้าทาง โดยมาพร้อมกันกับ ความเฉียบขาด ที่หายไปนาน
น่าสังเกตว่าหงส์แดง กลับมาระเบิดฟอร์มระดับนี้ได้เพราะมีศูนย์หน้าที่ชื่อเฟร์นานโด ตอร์เรส ยืนค้ำยันอยู่ข้างหน้าโดยมีสตีเว่น เจอร์ราร์ด คอยดันให้ข้างหลัง (อย่าคิดลึก)
เอล นินโญ่ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งกับรูปเกมทั้ง 2
นัดที่ถลุงเรอัล มาดริด และถล่มแมนฯ ยูไนเต็ด เพราะแม้จะมีข่าวว่าไม่ฟิตเต็มร้อยนักและเพิ่งจะเรียกความฟิตกลับมาลงเล่นได้แบบฉิวเฉียดในเกมแรก ถึงขั้นต้องฉีดยาชาก่อนลงสนามด้วยซ้ำ แต่ความเร็ว ความแข็งแกร่ง และไหวพริบของตอร์เรส สร้างปัญหาให้กับแนวรับเป็นอย่างมากแม้กระทั่ง เนมันย่า วิดิช หนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดของโลกในเวลานี้ก็ยังกลายสภาพจาก เซอร์บิเนเตอร์ เป็น เซ่อบิเนเด้อ โดนตอร์เรส เล่นงานจนแทบเสียคน
ประตูตีเสมอที่ลิเวอร์พูลได้ มันอาจจะเป็นจังหวะที่ก้ำกึ่งอยู่บ้างว่าเป็นการฟาวล์หรือไม่ เพราะมือของตอร์เรส ไป สัมผัส กับตัวของวิดิช เล็กน้อยก่อนจะโฉบเอาบอลไปยิงประตู แต่จังหวะเดียวกันนี้แหละที่สะท้อนให้เห็นว่า วิดิช มีอาการ ผวา กับตอร์เรส ลังเลปล่อยบอลกระดอนพื้นก่อนที่จะโดนความเร็วที่เหนือกว่าแย่งเอาบอลไปราวกับพญาเหยี่ยวโฉบคว้าเหยื่อไปกิน
ประตูนี้เองที่สั่นประสาทแนวรับของแมนฯ ยูไนเต็ด ทำให้ทีมที่เคยไม่เสียประตูนานติดต่อกันร่วม
14 นัด โดนยิงรวดเดียวถึง 4 ลูกก่อนที่วิดิช จะไปเสียคนอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังเมื่อไป ดึงเป้า ของสตีเว่น เจอร์ราร์ด จนโดนใบแดงไล่ออกไป
ด้วยฟอร์มของตอร์เรส ทำให้ปฏิเสธไม่ออกเหมือนกันว่าการขาดกองหน้าแชมป์ยูโรที่พี่เจิดซูฮกยกให้เป็นกองหน้าหมายเลขหนึ่งของโลกไปหลายต่อหายนัดในฤดูกาลนี้ มันส่งผลเสียหายต่อโอกาสลุ้นแชมป์ของลิเวอร์พูลเหมือนกัน
ฤดูกาลนี้ ตอร์เรส ลงเล่นในลีกให้กับลิเวอร์พูล แค่
16 นัดจาก 29 นัด หายไปถึง 13 นัดด้วยกัน โดยส่วนใหญ่ก็เป็นอาการบาดเจ็บที่แฮมสตริงซึ่งต่อเนื่องมาโดยตลอดมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะชวนให้คิดว่าถ้ามีตอร์เรส อยู่ครบทุกนัด ป่านนี้ลิเวอร์พูล อาจจะนำหน้าทุกทีมอยู่ก็ได้
แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญอีกแล้ว ไม่ต้องไปคิดถึงมัน
สิ่งสำคัญที่ราฟาเอล เบนิเตซ พยายามเน้นย้ำมี
2 เรื่อง คือหนึ่งปลุกใจลูกทีมด้วยผลการแข่งขันทำให้มีความเชื่อว่าทุกนัดที่เหลือของฤดูกาล พวกเขาไม่ต้องกลัวใครอีกแล้วและสองปลุกใจทีมอื่นๆให้เห็นว่าทีมอย่างแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ใช่จะแตะไม่ได้พ่ายไม่เป็น
ข้อสองนี่แหละที่สำคัญเพราะช่วงก่อนหน้านี้หลายทีมลงสนามในการเจอกับกองทัพอสูรแดงของเฟอร์กี้ ด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง ทั้งที่ความจริงมีหลายนัดเหลือเกินที่แมนฯ ยูไนเต็ด เล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานแต่ก็ยังสามารถเอาชนะได้ ไม่ว่าจะด้วยฝีมือหรือโชคชะตาก็ตามที
ความหวังของราฟา จึงแยกเป็นสองส่วน ทั้งส่วนของทีมตัวเองที่ก็ห้ามพลาดอีกแล้ว และส่วนของทีมอื่นๆที่จะช่วยกันหยุดปีศาจแดงให้
มองในแง่นี้แล้วก็ยังนับว่าน่า เหนื่อย เพราะลิเวอร์พูล มันมีภาพเก่าๆของทีมที่พลาดง่ายๆโผล่ให้เห็นประจำ
ในทางตรงข้าม แมนฯ ยูไนเต็ด ก็มีภาพของทีมที่ชนะง่าย แพ้ยาก ติดตาอยู่เสมอ
แต่เวลานี้ เมื่อมันเกิดประกายของ ปาฏิหารย์ ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดไปแล้ว คงไม่ผิดอะไรถ้าจะบอกให้เดอะ ค็อป ทั้งหลายว่าอย่าเพิ่งเลิกหวัง
พวกคุณมีสิทธิ์ที่จะหวังอยู่ว่าท้ายที่สุด ปาฏิหารย์จะบังเกิด และแชมป์จะกลับมาสู่แอนฟิลด์อีกครั้ง