ช็อค!สื่อมะกันแฉเตรียมขายหงส์แดงเฉียด7หมื่นล้าน
นิวยอร์ก โพสต์ สื่อดังของสหรัฐอเมริกา ตีข่าวดังว่า จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่ เจ้าของสโมสรของ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล กำลังเดินแผนเจรจาขายทีมแบบลับๆ และจะขายทีมทันทีหากได้ราคาที่น่าพึงพอใจ
รายงานระบุว่า เฮนรี่ ต้องการเงินเฉียด 7 หมื่นล้านบาท ประมาณ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 66,000 ล้านบาท
ในการขายสโมสรครั้งนี้ หลังจากที่เขาลงทุนซื้อเมื่อปี 2010 ในราคา 447 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 15,000 ล้านบาท
แหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยระบุว่า เฮนรี่ จะขายทีมแน่นอนหากได้ราคาที่ดี ที่พึงพอใจ และนี่ไม่ใช่ข่าวปลอม
สำหรับเหตุผลในการขายทีมครั้งนี้มีอยู่หนึ่งจุดที่ถูกจับประเด็นได้ก็คือ บอสตัน เรดซอคซ์ ทีมเบสบอลของ เฮนรี่ ประสบปัญหาในการขาดทุน
ทั้งนี้ "ฟอร์บส์" เพิ่งประเมินมูลค่าของ ลิเวอร์พูล เมื่อเดือนสิงหาคมว่า อยู่ที่ราคาประมาณ 1,900 ล้านเหรียญสหรัฐ
จะเรียกได้ทั้งนั้นแหละครับ ถ้าเราจะคิดว่า "ไม่มีมูล
หมาไม่ขี้" หรือจะเป็นแบบว่า "No Smoke without Fire"
ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อ 10 เมษายน 2559
หลังจากมีข่าวกรอบเล็กๆ ที่ไม่มีที่มาที่ไปของ "เดลี่สตาร์" สื่อเมืองผู้ดีตีออกมาว่า "เฟนเวย์" จะขายสโมสรให้กับเศรษฐีดูไบ ด้วยใจความประมาณว่า............
"กลุ่มเฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป มีแผนขายทีมหงส์แดงทันทีที่สโมสรขยายอัฒจันทร์ฝั่งเมน สแตนด์ เสร็จสมบูรณ์ พร้อมกับตั้งราคาเอาไว้ที่ 650 ล้านปอนด์
หรือ 32,500 ล้านบาท พร้อมกันนี้ยังระบุ
ด้วยว่า การเจรจากับเศรษฐีจากตะวันออกกลาง
นั้นคืบหน้าไปมากหลังได้รับความสนใจ
เทคโอเวอร์สโมสรนับตั้งแต่ เจอร์เก้น คล็อปป์
กุนซือชาวเยอรมัน ย้ายมาคุมทีมซึ่งทำให้มูลค่าหุ้นของถิ่นแอนฟิลด์ขยับสูงขึ้นเป็นลำดับ"
สไตล์การเขียนข่าวลักษณะแบบนี้ของสื่อจากเมืองอังกฤษ มีบ่อยมาก และหลายคนมักจะ "เข้าร่องแข้ง" สื่อเหล่านี้
น่าสนใจก็คือ ทำไมการก๊อบปี้ข่าวมันเกิดขึ้นทุกภาษา ข่าวแบบนี้หากมีมูลจริงๆ รับรองว่าจะต้องถูกขยายความต่อเนื่อง แต่หนนี้เงียบสนิท
.....อันที่จริงการเจรจากับกลุ่มนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งกลุ่มนี้คือ ดูไบ อินเตอร์เนชั่นแนล แคปิตอล หรือ DIC ซึ่งเมื่อก่อนชื่อว่า "ดูไบ โฮลดิ้ง" ที่นำโดย มูฮัมหมัด บิน รอชิด อัล มัคตูม
อัล มัคตูม พระองค์เป็นพระโอรสองค์ที่ 3 จากทั้งหมด 4 องค์ของ ชีค รอชิด บิน ซาอิด อัล มัคตูม อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 และรองประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองนครดูไบ
โดยกลุ่ม DIC เกือบที่จะเข้ามาเทคโอเวอร์ลิเวอร์พูล ตั้งแต่การปล่อยจากมือของ เดวิด มัวร์ส ตั้งแต่ช่วงกลางยุคปี 2000
ตัวละครเกิดขึ้นอย่างมากมาย
โรเบิร์ต "บ็อบ" คราฟต์ เจ้าของทีม "นักรบกู้ชาติ"
นิวอิงแลนด์ เพทริออตส์, ฆวน บียาร์ลองก้า เจ้าพ่อสื่อสารมวลชนสเปน และกลุ่มนักธุรกิจจากนอร์เวย์ คือชื่อที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
เรื่องของเรื่องกือ ริค แพร์รี่ ประธานบริหารของลิเวอร์พูล พบกับ ซามีร์ อัล อันซารี่ ซีอีโอของ DIC ด้วยความบังเอิญ ทำให้ได้รู้จักกันและติดต่อกันตลอด
ก่อนที่ DIC จะติดต่อการซื้อสโมสรอย่างเป็นทางการเดือนธันวาคม ปี 2006
ระหว่างนั้นตัวแทนของ DIC ก็มาที่แอนฟิลด์บ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สะเทือนความรู้สึก และสะกิดให้ทั้ง มัวร์ส และแพร์รี่ เริ่มไม่แน่ใจก็คือ เอกสารลับที่มีชื่อว่า Project Oslo หรือ โปรเจกท์ออสโล
เรื่องนี้มีการตีแผ่ไปยังสื่ออังกฤษนั่นคือ บีบีซี และเดลี่ เทเลกราฟ เนื่องจากมีการระบุเอาไว้ว่า DIC มีแผนที่จะถอนทุนคืนจาก ลิเวอร์พูล ในระยะเวลา 7 ปี
ขณะที่ DIC เรื่องมีข่าวเชิงลบ ก็มี ทอม ฮิคส์ กับ จอร์จ ยิลเล็ตต์ สองเศรษฐีอเมริกา เข้ามาเจรจาอยากจะซื้อทีม
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือ DIC ถูกทาง มัวร์ส กับ แพร์รี่ บีบให้ตอบเกี่ยวกับเรื่องเอกสาร ก่อนจะได้รับคำตอบว่า เอกสารนั้นก็แค่ข้อมูลการลงทุน และไม่มีทางจะขายทีมในระยะเวลาสั้นๆ แบบนั้นแน่
สุดท้ายแล้วถึงจุดแตกหัก การเจรจาไม่ลงตัว เมื่อ DIC ยื่นข้อเสนอให้ มัวร์ส ตอบมาว่าจะ "ขายหรือไม่ขาย" ภายในระยะเวลาเพียง 6 ชั่วโมง
ซึ่งบอร์ดบริหารลิเวอร์พูลทุกคนยืนยันว่า ทีมไม่ควรจะถูกกดดันถึงขนาดนี้ การเอาเงินมาฟาดแบบนี้คือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
แต่ยังไม่ทันที่จะมีการตอบรับหรือว่าปฏิเสธ DIC ก็ถอนตัวออกไปเองเรื่องนี้ แพร์รี่ เพิ่งออกมาให้สัมภาษณ์อีกครั้งเมื่อปี 2011 ว่า ที่จริงแล้ว คือตัวเลือกแรกของสโมสรในขณะนั้น แต่น่าเสียดายที่พวกเขากลับถอนตัวออกไปเอง
สุดท้ายแล้ว ทีมอยู่ในสภาวะจำเป็นที่จะต้องรับข้อเสนอจาก ฮิคส์ และยิลเล็ตต์
กระทั่งเป็นที่มาของคำว่า "ปลิงมะกัน" ในเวลาต่อมา
จนถึงเดือนตุลาคม ปี 2010 หรือ 8 ปีก่อน "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ เกือบจะต้องโบยบินไปสู่ดิวิชั่น 3 เนื่องจากกำลัง "ล้มละลาย"
ฮิคส์ กับ ยิลเล็ตต์ สองเจ้าของมะกัน กลายเป็น "ปลิง" แบบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อทำหนี้ท่วมสโมสร และถ้าไม่มีใครมาซื้อทีมได้
จะต้องโดนปรับตกชั้นถึง 3 ขั้น เพราะหนี้ทะลุไปกว่า 237 ล้านปอนด์
กลายเป็น "นิวอิงแลนด์ สปอร์ตส์ เวนเจอร์ส" หรือ NESV หรือ "เฟนเวย์ สปอร์ตส์" ในปัจจุบันนี่แหละ ที่เข้ามาซื้อสโมสรในราคา 300 ล้านปอนด์ ภายใต้การนำของ จอห์น เฮนรี่ นั่นเอง
จนกระทั่งถึงปัจจุบัน แรกทีเดียวกระแสโจมตีใส่ เฮนรี่ และกลุ่มของพวกเขาที่ปัจจุบันคือ FSGนาทีปัจจุบัน แอนฟิลด์ใหญ่โตขึ้น และเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
เป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด และต้องยอมรับว่า เฟนเวย์ หรือ FSG สามารถบริหาร "หนี้เน่า" ให้เราได้ "กำไร"
ต้องยอมรับข้อนึงก็คือ ลิเวอร์พูล เริ่มต้นช้ากว่าหลายๆ สโมสร โดยเฉพาะคู่ปรับสำคัญอย่าง แมนฯยูไนเต็ด ทั้งที่จริงการปล่อยสโมสรไปเข้ามือนายทุนจากอเมริกา เกิดขึ้นห่างกันไม่กี่ปี
แต่โชคร้ายเป็นของหงส์แดง
เมื่อได้คนไม่จริงใจอย่าง ฮิคส์ กับ ยิลเล็ตต์ เข้ามาบริหาร
จากเดิมคือสร้างสนามใหม่ 300 ล้านปอนด์ สุดท้ายกลายเป็นใช้เงินจำนวนเท่ากันทำอัฒจันทร์ใหม่เท่านั้นในยุคของ จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่
สโมสรเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในยุคของเฟนเวย์ เข้าสู่ปีที่ 8อย่างแข็งแกร่ง และเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ประกาศผลกำไรเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์
มีรายได้โดยรวมเพิ่มขึ้น 62 ล้านปอนด์ หรือเท่ากับ 364 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 16,380 ล้านบาท สำหรับหนึ่งปีนับถึง 31 พฤษภาคม 2017
ถือว่าเป็นจำนวนที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรเลยทีเดียวทีมมีเงินเข้ามาหลังจากสนามความจุเพิ่มขึ้นอีก 8,000 กว่าที่ รวมถึงการดำเนินธุรกิจทั้งในและนอกสนามซึ่งอันนี้สำคัญมาก ผมคงจะไม่พูดถึงการซื้อและขายนักเตะ เพราะหาอ่านกันง่าย แต่พูดถึงในเรื่องของรอบๆ แอนฟิลด์โฉมใหม่ดีกว่า
เริ่มจาก "ซูเปอร์สโตร์" ที่จากเดิมจะอยู่ใต้ถุนอัฒจันทร์ฝั่งสเปี้ยน ค็อป ได้ทำใหม่ใหญ่โตโอ่อ่า และยืนยันว่า "ทันสมัยที่สุด" แห่งหนึ่งของประเทศอังกฤษ
เช่นเดียวกันกับการสเตเดี้ยมทัวร์ ในราคาไทยเฉียดๆ 1,000 บาท ก็ทันสมัยและค่อนข้างไหลลื่น ไม่กระโดดไปกระโดดมา เดินง่ายไปง่าย
พื้นที่โดยรอบ ลิเวอร์พูล ได้ทำการกว้านซื้อที่ดินดังกล่าว หลังจากขออนุญาตสภาเมืองเรียบร้อย โดยอนาคตภูมิทัศน์ที่ตอนนี้ถูกปรับแต่งด้วยการล้อมรั้วเป็นความชัดเจนแล้ว การเดินทางไปแอนฟิลด์ในอนาคต จะไม่ธรรมดาแน่นอน
ที่นั่นจะมีโรงแรมของสโมสร อยู่ฝั่งเดียวกับ เมน สแตนด์ ส่วนจุดอื่นๆ ต้องคอยจับตามองอย่างใกล้ชิด
จากที่มีเพียงแค่ "สนามฟุตบอล" ตอนนี้กำลังจะกลายเป็น "อาณาจักร"
แถมกำลังสร้างสนามซ้อมใหม่แบบทันสมัยสุด ๆ ที่เคิร์กบี้เมื่อได้เห็นกับ "ตาตัวเอง" ผมจึงเข้าใจในตัวของผู้บริหารมากขึ้น และจากบทสัมภาษณ์ล่าสุดของ เฮนรี่ ในการที่ ลิเวอร์พูล เข้าสู่รอบชิงเจ้ายุโรป หนแรกในรอบ 11 ปี เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา
ยิ่งเข้าใจในการบริหารงานในยุคปัจจุบันที่มันยากมากๆ และไม่ต้องการจะต้องใช้แต่เงิน เงิน แล้วก็เงิน
เชื่อเหลือเกินว่า เมื่อ ฟอร์บส์ ประเมินราคาออกมาที่ 1,900 ล้านยูเอส และข่าวว่า เฮนรี่ อยากได้เงิน 2,000 ล้านยูเอส
บอกได้เลยว่า "เป็นไปไม่ได้" ที่จะขายในตอนนี้ และด้วยมูลค่าแบบนี้
ย้อนกลับไปดูอีกที ข่าวหนก่อนตอนนั้นจาก เดลี่ สตาร์ ก็บอกว่า ทำสแตนด์ใหม่เสร็จะขาย อันนั้นยังน่าสนใจกว่าตอนนี้ ที่น้ำหนักและทิศทางมันค่อนข้างเป็นไปไม่ได้
แถมกระแสต้าน เฮนรี่ รู้สึกว่า มันปั้นไม่ขึ้น กระแสเรียกพวกเศรษฐีอาหรับ, ชีค หรือพวกหลังม่านไม้ไผ่ ไม่ได้มาอย่างที่เคยเป็น
ผมว่า 8 ปีที่ผ่านมา เฮนรี่ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เขาทำทีมจริง ไม่ใช่แค่มาถึงแล้วสูบเอาเงินของสโมสรออกไป
หรือบริหารงานแบบเอาขยะไว้ใต้พรม
ที่สำคัญก็คือ มูลค่าสโมสรตอนนี้ 70,000 ล้านบาท....ยังน้อยไป!!!