วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม 2553
สนาม : เวมบลีย์
ผู้ตัดสิน : คริส ฟอย
แข่งขันเวลา : 21.00 น.
ถ่ายทอดสด : ทรูสปอร์ต 1, ช่อง 3
ผู้ทำประตู : ดร็อกบา น.58
เชลซี มีโอกาสที่จะสร้างประวัติศาสตร์คว้าดับเบิ้ลแชมป์เป็นครั้งแรกของสโมสรเกมนี้จึงเน้นเป็นพิเศษ ในส่วนของตัวผู้เล่น จอห์น เทอร์รี่ หายเจ็บกลับมาลงซ้อมและน่าจะพร้อมสำหรับเกมนี้ ขณะที่ บรานิสลาฟ อิวาโนวิช กองหลังอีกคนอาจต้องรอทดสอบความฟิต แต่ก็น่าจะพร้อมสำหรับการลงสนาม คู่กองหน้า ดีดิเยร์ ดร็อกบา เจ้าของตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดของศึกพรีเมียร์ ลีก ยังเป็นตัวหลักในแดนหน้าประสานงานร่วมกับ นิโกลาส์ อเนลก้า และ โซโลมง กาลู
ปอร์ทสมัธ ร่วงตกชั้นลงไปเล่นในศึกเดอะแชมเปี้ยนส์ ชิพ ในซีซั่นหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับรายการนี้ถือว่าทีมประสบความสำเร็จเกินความคาดหมายสามารถผ่านเข้ามาได้ถึงรอบชิงชนะเลิศ แม้จะเผชิญมรสุมอย่างหนักตลอดช่วงที่ผ่านมา อารูน่า ดินดาน, เควิน ปริ๊นซ์ บัวเต็ง ผ่านการทดสอบความฟิตลงยืนเป็น 11 ผู้เล่นตัวจริง เช่นเดียวกับในรายของ เจมี่ โอฮาร่า
ครึ่งแรก
เชลซี เป็นฝ่ายเขี่ยลูกเริ่มเล่น บุกจากขวาไปซ้าย นาทีที่ 3 เชลซี ได้ลุ้นจังหวะแรก อเนลก้า ได้บอลพาแหวกเข้าในซัดจังหวะแรกติดบล็อกมาเข้าทาง แลมพาร์ด ดีดด้วยขวาบอลพุ่งต่ำเฉี่ยวเสาสองออกหลังอย่างได้ลุ้น
นาทีที่ 11 เชลซี ได้ลูกฟรีคิกทางซ้ายจากจังหวะที่ ปาป้า บูบ้า ดิยอฟ ฟาวล์ใส่ นิโกล่าส์ อเนลก้า, แฟร้งค์ แลมพาร์ด วิ่งซอยเท้ายิกๆ เข้ามาซัดบอลติดบล็อก 2 นาทีต่อมา เชลซี ใกล้เคียงกับการได้ประตูขึ้นนำ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ได้จังหวะซัดด้วยขวาจากนอกกรอบ บอลชนเสาแฉลบออกหลัง
นาทีที่ 21 เชลซี ขึ้นเกมมาทางขวา บอลเปิดผ่านมาที่ว่างทางเสาไกล ดร็อกบา ยิง ติดบล็อกถึง 2 ครั้งก่อนที่บอลจะถูกเคลียร์ออกมา จากจังหวะสวนกลับของปอร์ทสมัธ บอลผ่านเข้ามาจากด้านข้าง อารุน่า ดินดาน ยิงด้วยขวาโดน เควิน ปริ๊นซ์ บัวเต็ง เกือบเปลี่ยนทางเข้าประตู เช็ก ปัดออกมาได้หวุดหวิด
เชลซี ได้ลุ้นอีกครั้ง และก็เป็นจังหวะพลาดอย่างน่าเหลือเชื่อ!! บอลสาดออกซ้าย แอชลีย์ โคล เบียดเอาชนะ อารอน โมโคเอน่า ป้ายมากลางประตู โซโลมง กาลู แปบอลโดนหน้าแข้ง ชนคานบนกระดอนออกมา
อะไรมันจะแม่นขนาดนั้น!!! นาทีที่ 30 ลูกเปิดจากด้านข้างฝั่งซ้าย มาลูด้า ผ่านมาที่เสาไกล เทอร์รี่ ขึ้นโขกย้อนบอลชนคานอีกครั้ง!!
ปอร์ทสมัธ เล่นของ!!! นาทีที่ 39 เป็นอีกครั้งที่ เชลซี พลาดได้ประตูอย่างเหลือเชื่อ จากจังหวะลูกฟรีคิกที่ บัลลัค โดน เควิน ปริ๊นซ์ บัวเต็ง อัดลงไปนอนชัก ดีดิเยร์ ดร็อกบา รับหน้าที่สังหารซัดบอลแฉลบคานบนเด้งกระดอนพื้นกำกึ่งว่าจะเลยข้ามเส้นประตูหรือไม่ ก่อนจะโดนเคลียร์ออกมา กองเชียร์ยันนักเตะของ เชลซี ดีใจเก้อ ผู้ตัดสินไม่ให้เป็นประตู ช่วงเวลาที่เหลือ ยังไม่มีการประตู จบครึ่งแรก เชลซี เสมอ ปอร์ทสมัธ 0:0
ครึ่งหลัง
เขี่ยลูกเริ่มเล่นนาทีที่ 51 ปอร์ทสมัธ ได้ลูกฟรีคิกทางขวาของสนาม เจมี่ โอฮาร่า เปิดลึกข้ามมาที่เสาไกล เควิน ปริ๊นซ์ บัวเต็ง เกี่ยวเอาบอลลงด้วยขวาแล้ววอลเลย์ด้วยซ้าย บอลย้อนหลุดเสาไกลออกหลัง
นาทีที่ 56 ปอร์ทสมัธ ได้ลูกจุดโทษ! จากจังหวะที่ เบลเล็ตติ กวาด ดิดาน ล้มลงในเขตโทษ เควิน ปริ๊นซ์ บัวเต็ง รับหน้าที่สังหารซัดเรียดไปกลางประตู ติดขา ปีเตอร์ เช็ก สกอร์ยังอยู่ที่ 0:0
นาทีที่ 58 เชลซี ได้ลูกฟรีคิกหน้าเขตโทษเยื้องออกมาทางซ้าย ดร็อกบา รับหน้าที่สังหารซัดเต็มๆ ด้วยขวาบอลชนเสาแฉลบเข้าประตูไป เดวิด เจมส์ พยายามพุ่งแต่ปัดไม่ถึง เชลซี ขึ้นนำ 1:0
นาทีที่ 72 เชลซี บุกดดัน ปอร์ทสมัธ อีกครั้ง ดร็อกบา ได้บอลทางซ้ายพาทะลุเข้ามาในเขตโทษ ยิงมุมแคบที่เสาแรกติดบล็อก เจมส์ ที่ออกมาปิดมุม ดร็อบา เก็บบอลได้อีกครั้งจ่ายคืนให้ โจ โคล ที่ลงมาเป็นตัวสำรอง ซัดติดกองหลัง ปอร์ทสมัธ
นาทีที่ 88 เชลซี มาได้ลูกจุดโทษ จากจังหวะที่ ไมเคิ่ล บราวน์ ทำฟาวล์แฟร้งค์ แลมพาร์ด ล้มลงและก็เป็น แลมพาร์ด ที่รับหน้าที่สังหารซัดบอลหลุดกรอบออกไปอย่างเหลือเชื่อ! เชลซี ยังนำอยู่ 1:0
ช่วงเวลาที่เหลือ ไม่มีการทำประตูเพิ่ม เชลซี เอาชนะ ปอร์ทสมัธ ไปได้ 1:0 คว้าดับเบิ้ลแชมป์เป็นครั้งแรกของสโมสรส่วน ปอร์ทสมัธ ได้เพียงรองแชมป์ส่งท้ายร่วงชั้น
รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม
เชลซี: ระบบ 4-3-3
ผู้รักษาประตู : ปีเตอร์ เช็ก
กองหลัง : จอห์น เทอร์รี่, อเล็ก, แอชลีย์ โคล, บรานิสลาฟ อิวาโนวิช
กองกลาง : มิชาเอล บัลลัค (ชูเลียโน่ เบลเล็ตติ น.44), แฟร้งค์ แลมพาร์ด, ฟลอร็อง มาลูด้า
กองหน้า : นิโกลาส์ อเนลก้า (ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ น.90), ดีดิเยร์ ดร็อกบา, โซโลมง กาลู (โจ โคล น.71)
ปอร์ทสมัธ: ระบบ 4-5-1
ผู้รักษาประตู : เดวิด เจมส์
กองหลัง : สตีฟ ฟินแนน, ริคาร์โด้ โรช่า, อารอน โมโคเอน่า, เฮย์เดน มัลลินส์ (นาเดียร์ เบลฮัดจ์ น.80)
กองกลาง : เควิน ปริ๊นซ์ บัวเต็ง (จอห์น ฮูทาก้า น.74), ปาป้า บูบ้า ดิยอฟ (เอ็นวานโก้ คานู น.80), ไมเคิ่ล บราวน์, อารูน่า ดินดาน, เจมี่ โอฮาร่า
กองหน้า : เฟเดอริก ปิกิยอน