PINKY MANCHESTER !!!!!
ไม่บ่อยนักที่สีฟ้ากับสีแดงจะกอดคอกันกลม..
ช่างน่าแปลกที่กระแสจิตของผม แรง เหลือเชื่อในเกมเมื่อคืนวาน.. ทั้งการลุ้นจังหวะฟรีคิกของคาร์ลอส เตเบซ และวินาทีเฉียดกรายการ เสมอ 8 นัด ของแมนฯซิตี้ เมื่อแฟร้งค์ แลมพาร์ด วัดใจกับเชย์ กิฟเว่น..
ท้ายสุดผมแหกปากลั่นหยั่งกับคนบ้า ไม่สนอีร้าค่าอีรมแม้ว่า คาร์ลิตอส จะอยู่ในชุด เดอะ บลูส์ ของคู่ปรับร่วมเมืองก็ตาม
นี่ล่ะมั้งครับที่เขาเรียก เสน่ห์ ของเกมลูกหนัง คือดูสนุกได้ทุกเกมอยู่ที่ว่าเราจะเอา หัวใจ ของเราไปใส่ในมุมไหน
กระทั่งสองเกมปลอดบิ๊กโฟร์ในคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมายังแต่งแต้มสีสันให้อารมณ์คล้อยตามได้อย่างไม่น่าเชื่อ เกมฟูแล่ม-ซันเดอร์แลนด์ถูกประทับหน้าผากความมันส์ไว้ที่ 3 ดาว อันนั้นก็ของแน่
แต่โยกสะโพกมาที่เมอร์ซี่ย์ไซด์... ความสนุกของเกมเอฟเวอร์ตันรับสเปอร์สผายมือหลีกทางให้คู่เอกของวันเสาร์อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้และเชลซีเพียงหน่อยเดียวเท่านั้น
คู่เอก ที่ยังคงเป็นการประจัญหน้าของสองเจ้าบุญทุ่มแห่งเกาะอังกฤษ.. อาหรับและรัสเซีย กับสงครามเงินตราและมหาอำนาจในโลกฟุตบอล
ย้อนไปหนึ่งปีก่อนหน้า.. มองไปทางไหนเสียงหัวร่อคิกคักก็ดังไปทั่วทุ่ง... ทีมนี้น่ะเหรอจะมาแย่งบิ๊กโฟร์ มีแค่โรบินโญ่วิ่งหยอยๆอยู่คนเดียว ทำอะไรได้
หากแต่ซัมเมอร์สืบเท้ามาถึง... ภาพของสตาร์ระดับ 4 ดาวปรากฎอย่างหรูหราทีละคน... เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ , คาร์ลอส เตเบซ และแกเร็ธ แบร์รี่ทยอยกันชูผ้าพันคอหรา
จากนั้นท่าทีของสื่อก็เปลี่ยนไป จากยำเกรงเปลี่ยนเป็นนอบน้อม ถึงขนาดก่อนเปิดซีซั่นยังทำภาพประกอบข่าว บิ๊กโฟร์ ด้วยการตัดชุดอาร์เซน่อลออกไปด้วยซ้ำ
ทว่าก็ยังไม่พ้นข้อสังเกตจากเหล่ากูรูอยู่ดี ตัวผู้เล่นอาจพอถูไถปีนป่ายบนหัวตารางได้ แต่โค้ชล่ะ พร้อมรึยัง??
ก็นั่นล่ะครับ.. หลายฝ่ายยังไม่เชื่อมือมาร์ก ฮิวจ์ส กระทั่งผ่านไป 14 นัดชนะ 6...แพ้แค่นัดเดียวในเฮือกสุดท้ายที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
ที่หายไปคือผลเสมออย่างคงเส้นคงวา... 7 นัด
ลองลากกราฟมาตัดกับเส้นของเชลซี ที่ตะกายดาวอยู่บนหอคอยพรีเมียร์ลีก ผนวกรวมกับฟอร์มที่แฟนสิงห์บลูส์เรียกว่า แกร่งทั่วแผ่น
ดูแล้วยังไงซิตี้ที่ป้อแป้มาตลอดก็คงถูกปรามาสไว้เช่นเคย...
นาฬิกาทำงานอยู่ 7 นาที... ลูกสังหารของนิโกล่าส์ อเนลก้าที่เด้งอัดอเดบายอร์ซุกก้นตาข่าย เชิญชวนให้คอลูกหนังพร้อมใจสวมวิญญาณนอสตราดามุสทำนายล่วงหน้าว่า ซิตี้เอ๋ย..สงสัยคงโดนเก็บอีกแหง
กระนั้นซิตี้ขอท้าพิสูจน์คำทำนาย... หากแฟนเรือใบขออ้างเหตุผลเพื่อสนับสนุนสมมติฐานที่ว่า ซิตี้จะไม่แพ้ เขาคนนั้นสามารถอ้างได้ 2 ข้อ
ข้อแรก... เกมนี้สถิตอยู่ที่ซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์... และข้อที่สอง... เอาน่ะ..เชื่อในตัวมาร์ก ฮิวจ์สซักเกม..
โชคดีของสาวกบลู มูนส์คนนั้น.. ที่คงได้ยิ้มปลื้มเลี้ยงข้าวเพื่อนแบบไม่อั้น เพราะสมมติฐานถูกต้อง !!
ความทุ่มเทของเหล่า เรือใบสีฟ้า ควรค่าแก่เสียงปรบมือ... การไล่บอลทุกเม็ดทุกจังหวะและเพรสซิ่งไล่ฟัดอย่างไม่คิดชีวิต เสมือนกระทิงผู้ดุร้ายที่ไล่ขวิดสิงโตเจ้าป่าอย่างไม่ให้ทันตั้งตัว
และท้ายสุดสวรรค์ตบรางวัลให้ด้วยประตูตีเสมอ แม้จะมีประเด็นให้ถกตามเคยกับจังหวะแฮนด์บอลของไมก้าห์ ริชาร์ดส์ แต่หากลองพินิจอย่างละเอียดแล้ว ตัดสินยาก
ดังนั้นการอิงกฏของฟีฟ่าที่ว่า คำตัดสินของผู้ตัดสิน ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ถือเป็นจุดสิ้นสุด ไว้ก่อน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ยุติธรรมที่สุด
เพราะวัฏจักรของความผิดพลาดมันวนไปมาอย่างทั่วถึงกันเหมือนกลางวันกลางคืน.. ทุกทีมก็เคย รับแสง จากมันและ อับแสง จากมันหมดแล้วทั้งสิ้น
และข้อสรุปอยู่ที่ อเดบายอร์ ทำประตูตีเสมอ และเกมต้องดำเนินต่อไป... กิริยาร้อนรนของจอห์น เทอร์รี่ต่อผู้ตัดสินฮาวเวิร์ด เว็บบ์ ไร้ผล
ละครลูกหนังเรื่องนี้ยังกระชากอารมณ์ต่อไป... ช่วงท้ายครึ่งแรก กับฟรีคิกระยะถนัดของดร็อกบา... บอลพุ่งเฉี่ยวโคนเสา ชนิดเรย์ วิลกิ้นส์ ลุ้นตัวโก่งแต่คาร์โล อันเชล็อตติ กลับนิ่งและมองค้อน
อันเช่ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาสิบเจ็ดย่านน้ำ... กระทาชายจากแดนรองเท้าคงตระเตรียมการปรับหมากในช่วงพักครึ่งไว้หมดแล้ว เช่นเดียวกับคนเก้าอี้ร้อน มาร์ก ฮิวจ์ส...
นายใหญ่จากเวลส์... บารมีเพียงเล็กน้อยถึงขั้นปานกลาง ดูเผินๆไม่อาจเทียบชั้น คิง คาร์โล ที่เคยพาเอซี มิลาน ไปเหยียบยอดยุโรปมาแล้วได้
แต่เกมนี้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า ฮิวจ์ส มีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใครเช่นเดียวกัน !!
45 นาทีแห่งการโรมรัน... ประเด็นสำคัญไม่ได้มีเพียงแค่ฟรีคิกแห่ง มิตรภาพ ของคาร์ลอส เตเบซ ที่ช่วยให้ช่องว่างเหลือห่างเพียง 2 แต้มเท่านั้น..
การยืนหยัดต่อสู้ต้านทานความ เขี้ยวลากดิน ของเชลซีได้จนจบนกหวีดยาว ก็ควรโน้มหัวคำนับต่อความพยายามเช่นกัน
กระทั่งจุดไคลแมกซ์ของเกม... หนังม้วนเดิมๆกำลังจะถูกหยิบขึ้นมาฉาย... หนังที่เชลซีกำลังจะกลับมาอีกครั้ง ก็ถูกฉีกฟิล์มทิ้งโดยเชย์ กิฟเว่น
กรุณาเชื่อเถอะครับ! วินาทีนั้น ถ้าเสียงเฮจากชาวแมนเชสเตอร์ทั้งเมืองไม่ดังให้มันรู้ไป..
ซิตี้ กับ เร้ด อาร์มี่ กอดกันกลมดิ๊ก ลืมเรื่องราวบาดหมางไปอย่างน้อยก็หนึ่งวัน
ส่วนมหานครลอนดอน กลายเป็นฝันร้ายและเหยื่อของสองทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์... เวสต์แฮมนอนแผ่หรายอมรับสภาพ... ส่วนเชลซีคงได้แต่เจ็บใจตัวเอง...
การปีนป่ายสู่สวรรค์ชั้นที่ 38... คือการแข่งขันที่อำมหิตและจะยอมแพ้เพียงอย่างเดียวคือ ความทนทาน และคงเส้นคงวาเท่านั้น
หากมือของกิฟเว่นไม่พุ่งไปสัมผัสลูกยิงของแลมพาร์ด... แต้มของเชลซีอาจเพิ่มเป็น 37 หรือยิ่งกว่านั้นอาจเสริมแรงบวกยิงท้ายเกมเพิ่มเป็น 39 ก็เป็นได้..
ทว่าทุกอย่างจบลง... โดยที่สิงห์บลูส์มีเท่าเดิมคือ 36... ไม่ได้เพิ่มแม้แต่เพียงแต้มเดียว
แต้มเดียว ที่อาจสำคัญที่สุดในฤดูกาลนี้
ความโศกเศร้าระคนโทสะเข้าทักทายพวกเขาดั่งเพื่อนสนิท แต่อีกไม่นานคาดว่าเหล่าเชลสกี้ส์จะลุกขึ้นมาใหม่ได้ เพียงแต่คำถามที่หลายฝ่ายเฝ้ารอคือ พวกเขาจะล้มอีกเมื่อไหร่เท่านั้น ??
แต่ไม่ว่าคนเมืองหลวงจะเศร้าแค่ไหน อย่างน้อยคนเมืองเหนือก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่..
เมื่อ กำแพงเบอร์ลิน เวอร์ชั่นแมนเชสเตอร์ ถูกทุบทิ้งลงชั่วคราว คนสีฟ้ากับคนสีแดง ถลาเข้าโอบกอดซึ่งกันและกัน...
ท่ามกลางท้องฟ้าที่ถูกฉาบด้วยสีชมพู..
เจี๊ยบ เคเอฟซี
ปล.ขอบคุณข้อมูลจากคุณ Redinblood ข้อมูลจากคุณทำให้ผมได้แก้ไขบางส่วนของบทความให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงเรียบร้อยแล้วครับ
_________________
ขอบคุณ : SoccerSuck :
และ เจี๊ยบ เคเอฟซี |
คนข่าวซอคเกอร์ซัค |