ในฤดูกาล 2010/2011 ความหงุดหงิดบังเกิดขึ้นทุกครั้งที่หยิบหนังสือพิมพ์ สตาร์ซอคเก้อร์ ฉบับวันถัดมาหลังจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องกรีฑาทัพไปเยือนคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นศึก พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ, คาร์ลิ่ง คัพ (ที่ถูกถีบตกรอบไปเรียบร้อย) รวมถึงศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็มักจะต้องประสบพบเจอกับพาดหัวข่าวที่คุ้นหน้าคุ้นตา ยกตัวอย่างเช่น ผีเจ๊าจืด(ประโยคนี้เห็นบ่อยสุดจนชินตา), รวมถึง ผีเฉือนหืด เป็นต้น
รวมทั้งนัดล่าสุดที่ ปีศาจแดง ต้องยกพลบุกไปยังถิ่น สต๊าด เวโลโดรม ของ โอลิมปิก มาร์กเซย ลูกทีมของบรมกุนซือ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานเดิมๆ ในยามที่ต้องเล่นนอกบ้าน นั่นคือการแพ็คเกมรับให้แน่นเพื่อปิดประตูแพ้ไว้ก่อน และหวังใช้เกมสวนกลับเร็วเพื่อเผด็จศึกคู่แข่งให้เพลี่ยงพล้ำ แต่ก็เหมือนเช่นเคย พวกเขาไม่มีทีเด็ดอะไรที่ดีพอไปจัดการคู่แข่งให้สิ้นซาก
ชัดเจนว่าในเกมนี้พลพรรค เร้ด เดวิลส์ สามารถจัดการกับเกมรุกของเจ้าถิ่นได้อยู่หมัด โดย เนมันย่า วิดิช รวมถึง คริส สมอลลิ่ง คู่เซนเตอร์แบ็กที่สามารถรับมือกับ บรันเดา, อังเดร อายิว รวมถึง โลอิค เรมี่ ได้อย่างไร้ปัญหา ที่เหลือก็อยู่ที่ก็แค่บรรดาผู้เล่นในแนวรุกของ เฟอร์กี้ ที่จะหาทางเจาะแนวรับของทีมเจ้าถิ่นได้อย่างไร แต่ในท้ายที่สุดมันก็เป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ ที่ลงเอยด้วยความผิดหวังเมื่อเกมจบลงด้วยวลี เจ๊าจืด 0-0
เมื่อผลการแข่งขันออกมาเช่นนี้ มันก็ถึงเวลาที่ต้องย้อนมาดูผู้เล่นในแนวรุก ก็ต้องยอมรับว่าประตูที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้ในฤดูกาลนี้ ส่วนใหญ่มาจากการสร้างสรรค์เกมทางริมเส้นเป็นส่วนใหญ่ โดยมีกำลังสำคัญอยู่ที่ หลุยส์ นานี่ ปีกชาวโปรตุกีส ที่มีสถิติทำแอสซิสต์ ให้กับเพื่อนถล่มประตูคู่แข่งได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่เมื่อทีมต้องเป็นฝ่ายไปเยือน มุกการเปิดเกมรุกจากทางริมเส้นก็ต้องถูกฝ่ายเจ้าถิ่นป้องกันจนทำอะไรไม่เป็น ชิ้นเป็นอัน ครั้นจะมาอาศัยมิดฟิลด์ตัวกลางในยุคปัจจุบัน ก็ไม่มีใครที่จะพอฝากผีฝากไข้ในการจ่ายบอลทะลุช่องสวยๆ ได้แม้แต่คนเดียว
อย่างที่กล่าวมาข้างต้น ขุมกำลังในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลางของ บรมกุนซือวัย 69 ปี ในยุคปัจจุบัน ไม่ได้ถือว่าขาดแคลนอะไร เมื่อมีทั้ง พอล สโคลส์, ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์, อันแดร์สัน, ไมเคิ่ล คาร์ริค รวมถึง ดาร์รอน กิ๊บสัน ให้เลือกลงสนามได้ครั้งละ 2-3 คน แต่สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ ทั้ง 5 คน ล้วนไม่มีใครที่สามารถฝากความหวังในฐานะจอมทัพได้เลย เมื่อ สโคลส์ ในวัย 36 กะรัต ก็ถูกสังขารอันล่วงเลยลักพาความแม่นยำในการจ่ายบอล รวมถึงพละกำลังในการยืนระยะไปจนหมดสิ้น ส่วนอีก 4 คนที่เหลือ ก็ดูไร้วี่แววที่จะพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาเป็นจอมทัพให้กับทีมได้เลย
ในเกมบุกถิ่น สต๊าด เวโลโดรม ขุนพล เร้ด เดวิลส์ วางหมากในระบบ 4-5-1 โดยให้ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ เป็นกองหน้าตัวเป้า และอัดแผงกลางถึง 3 คน ประกอบด้วย ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์, ไมเคิ่ล คาร์ริค และ ดาร์รอน กิ๊บสัน และมี รูนี่ย และ นานี่ เดินเกมทางริมเส้นฝั่งซ้าย และ ขวา ตามลำดับ ซึ่งสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ แผนกลางทั้ง 3 คน มีจุดเด่นเฉพาะในวิ่งไล่ตัดบอลจากคู่แข่งเท่านั้น จนเดือดร้อนถึงดาวยิงวัย 25 ปี ที่ต้องลงมาทำหน้าที่เชื่อมเกมแดนกลางไปสู่กองหน้าในหลายๆ จังหวะ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เกมรุกของทีมดูดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมใดๆ
ทำให้แอบหวั่นใจอยู่พอสมควรว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ยังมีเกมหนักที่ต้องออกไปเยือนทั้ง เชลซี, อาร์เซน่อล รวมถึง ลิเวอร์พูล ในศึก พรีเมียร์ลีก จะสามารถเอาตัวรอดไปจนคว้าแชมป์กลับมาครองได้หรือไม่ในฤดูกาลนี้ รวมถึงรายการอื่นๆ ที่ยิ่งผ่านเข้าสู่รอบที่ลึกมากเท่าใด ก็มีแต่คู่แข่งสุดหินที่ยืนยิ้มรออยู่เบื้องหน้าทั้งนั้น แค่นึกก็เหนื่อย เอาเป็นว่าปีนี้มีแชมป์สักถ้วยมาเพิ่มในตู้โชว์สโมสรก็ถือว่าประสบความ สำเร็จแล้ว แต่ถ้าเลือกได้ก็ขอแชมป์ พรีเมียร์ลีก เพื่อหยุดความโอหังของแฟนบอลบางทีมสักที
ดังนั้น ในฐานะที่เป็นผู้มีจิตศรัทธาในลัทธิซาตาน ขอภาวนาให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หานักเตะในตำแหน่งจอมทัพ เหมือนอย่างที่ สิงโตน้ำเงินคราม, ไอ้ปืนใหญ่ และ หงส์แดง มี แฟร้งค์ แลมพาร์ด, เชส ฟาเบรกาส และ สตีเว่น เจอร์ราร์ด มาเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์นี้ให้ได้สักคนหนึ่งเถิด...สาธุ
-เกรียนผี-
สิ่งที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังต้องตามหา?
หน้าแรกTeeNee ที่นี่กีฬา พูดคุยเรื่องฟุตบอลและกีฬาต่าง ๆ ปืนใหญ่อาร์เซนอล สิ่งที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังต้องตามหา?
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!