ฮีโร่คนใหม่บอลไทย ปีเตอร์ รีด



ปี 2551 ที่เริ่มถอยหลังกับการเปลี่ยนศักราชใหม่ ความเคลื่อนไหวในวงการฟุตบอลไทยไม่หวือหวานัก
 
โดยเฉพาะกับเกมการแข่งขันในช่วงต้นปีในรายการฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก เพราะความล้มเหลวจากการแข่งขันครั้งนี้ "บิ๊กโต้ง"กิตติรัตน์ ณ ระนอง ผู้จัดการทีมชาติไทยกลายเป็นอดีตไปในทันทีหลังพ่ายโอมานคาสนามราชมังคลากีฬาสถาน ในวันที่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา เจ้าตัวประกาศไขก๊อกแบบไม่ทบทวนทั้งๆ ที่ศึกยังไม่เสร็จสิ้น จนกลายเป็นว่า "แม่ทัพทิ้งศึกกลางสง คราม" ความปั่นป่วนเกิดขึ้นกับทีมชาติไทยและสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ทันที

ยามนั้น "บังยี"วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมลูกหนังตัดสินใจให้ "โค้ชหรั่ง" ชาญวิทย์ ผลชีวิน ควบตำแหน่งผู้จัดการทีมไปพร้อมกับทำหน้าที่โค้ช ถือเป็นครั้งแรกของทีมชาติไทย ที่รับผิดชอบควบสองตำแหน่แต่ระหว่างเวลา นายกลูกหนังเริ่มทบทวนและเสาะหาโค้ชคนใหม่ให้กับทีมชาติไทย เหตุจาก "โค้ชหรั่ง" ขอทำหน้าที่ในการแข่งขันครั้งนี้ให้ครบถ้วนกระบวนความก่อน และจะลาออกเช่นเดียวกัน



กระแสข่าวถึงโค้ชต่างประเทศกระหึ่มขึ้นมาทีละน้อย และรู้กันว่า
 
"บังยี" บินแหลกทาบทามหลายโค้ชมาคุมทีมทั้ง คาร์ลอส คาร์วัลโญ่ อดีตโค้ชทีมชาติไทยที่เคยพาทีมชาติไทยเข้าป้ายที่ 4 เอเชี่ยนเกมส์มาแล้ว เลยไปถึง ปีเตอร์ วิธ อีกหนึ่งอดีตที่เคยพาทีมชาติไทยไปถึงอันดับ 4 เอเชี่ยนเกมส์เช่นเดียวกัน รวมทั้ง "โค้ชป้ำ"วรวรรณ ชิตะวณิช ที่ไปคุมทีมเทมปิเนส โรเวอร์ ในเอสลีก มีชื่อโผล่อยู่ในว่าที่โค้ชทีมชาติไทยกับเขาด้วย

แต่ในที่สุดหวยไปลงล็อกที่ ปีเตอร์ รีด กุนซือชาวอังกฤษ อดีตนักเตะสโมสรเอฟเวอร์ตั้น ทีมชาติอังกฤษ และเคยเป็นกุนซือให้กับทีมซันเดอร์แลนด์และแมนฯ ซิตี้ และสามารถพาทั้งสองทีมขึ้นไปอยู่ในอันดับต้นๆ ของพรีเมียร์ลีกได้อย่างน่าทึ่ง

เมื่อทุกอย่างลงตัว ปีเตอร์ รีด จึงได้จรดปากกาเซ็นสัญญาทำทีมชาติไทยยาว 4 ปี ด้วยค่าตัว 1 ล้านปอนด์ต่อปี หรือราวๆ ปีละ 60 ล้านบาท และเริ่มงานกันตั้งแต่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา



กุนซือทีมชาติไทยเมื่อเข้ามารับงานแรก พาทีมไทยคว้าแชมป์ทีแอนด์ที คัพ ที่เวียดนาม จากนั้นมาถึงงานใหญ่ในอาเซียน "ซูซูกิ คัพ 2008" แต่เป้าหมายของ ปีเตอร์ รีด หาใช่เพียงแค่นั้น กุนซือชาวอังกฤษยืนยันว่า การเข้ามารับงานทีมชาติไทย เพราะเขาชอบงานที่ท้าทาย และมีเป้าหมายที่จะพาทีมชาติไทยให้ผ่านการแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 2014 ให้ได้ ในขณะที่เกมอื่นๆ แม้จะพยายามเวียนใช้นักเตะเพื่อพัฒนาศักยภาพ แต่เป้าหมายในการคว้าแชมป์ถือเป็นปัจจัยหลักเช่นกัน

ส่วนผลงานในศึก "ซูซูกิ คัพ 2008" ที่พาทีมได้แค่รองแชมป์เท่านั้น หลังจากนัดชิงชนะเลิศ นัดแรกเล่นในบ้านพลาดท่าพ่ายคาบ้าน 1-2 ในขณะที่การแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ นัดที่สองที่เวียดนาม ไปเสียท่าโดนตีเสมอในช่วงทดเจ็บ 1-1 เลยชวดโอกาสแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย

เกมชิงชนะเลิศ นัดที่สอง ต้องถือว่าทีมชาติไทยเล่นได้ดีแล้ว เพียงแต่ไม่มีเทพีแห่งโชคเข้าข้างเท่าใดนัก

และก็ไม่น่าจะทำให้เครดิตการทำงานของกุนซือชาวอังกฤษลดถอยลงไปเท่าใดนัก

เล่นดีแต่ไม่มีดวงว่ากันอย่างนั้น

จะวัดความสามารถของรีด อย่างแท้จริงจึงน่าจะอยู่ที่ปี 2552 โดยเฉพาะศึกชิงถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ เพราะจะเป็นช่วงที่รีด ได้มีเวลาการทำงานอย่างเต็มที่ มีนักเตะให้เลือกใช้งานมาก

ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที

ค่าเหนื่อยกว่า 240 ล้านบาทของ ปีเตอร์ รีด ที่แฟนบอลถึงกับอ้าปากค้างงับขากรรไกรไม่ลงนั้น จะคุ้มค่าเพียงไร จากนี้ไปชวนติดตามยิ่งนัก..เพราะฝั่งฝันที่วาดไว้...หลายกุนซือกระอักเลือดมาเยอะแล้ว

งานนี้ต้องว่ากันยาวๆ

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์