อย่าซ้ำเติมกันอีกเลย

 ความรู้สึกของผมหลังเกมไทยพ่ายอินโดนีเซีย 1-2 ตกรอบแรกฟุตบอลอาเซียนคัพ คงไม่ต่างจากแฟนบอลชาวไทยทั้งประเทศที่รู้สึก ซึม หดหู่ ผิดหวัง






จากเจ้าอาเซียน เป็นหนึ่งมาตลอดในรายการระดับภูมิภาค จับพลัดจับผลูซวยที่สุดเราก็แพ้แค่ในรอบชิงชนะเลิศหรืออย่างแย่ๆก็ต้องเข้า รอบรองฯ แต่นี่ตกรอบแรกจึงเป็นอะไรที่รับไม่ได้





แน่นอนว่ากระแสเสียงจากแฟนบอลทั้งตามวิทยุ, โทรทัศน์, เว็บไซต์ต่างๆ พากันดาหน้าออกมาถล่มทีมชาติไทย กระหน่ำสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยชนิดไม่ต้องติดเบรก





หลังจากรับรู้ปฏิกิริยาจากแฟนบอลหนักๆ พอมีเวลาได้นั่งพิจารณา ไตร่ตรองแล้วผมมีความรู้สึกว่าในภาวะวิกฤติศรัทธาขนาดหนักแบบนี้น่าจะมีอีก สักมุมที่จะเป็นกำลังใจ เป็นธารน้ำใจเล็กๆ ปลอบอกปลอบใจกันบ้าง





ผมไม่ทราบว่านี่เป็น ก้นเหว ของฟุตบอลไทยหรือยังแต่ผลงานล้มเหลวต่อเนื่องในรอบ 2 ปีนับตั้งแต่ตกรอบอาเซียนคัพครั้งที่แล้ว ด้วยการพ่ายเวียดนาม, สิงคโปร์ในบ้านเราเอง ตามมาด้วยการตกรอบแรกฟุตบอลซีเกมส์ที่ประเทศลาวเป็นครั้งแรกในรอบร่วม 30 ปี เอเชียนเกมส์แม้จะเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายแต่ก็ชนะในเวลา 90 นาทีแค่นัดเดียวคือเกมกับปากีสถาน เสมอแม้กระทั่งมัลดีฟส์





และสุดท้าย....เสมอลาว เสมอ มาเลเซีย แพ้ อินโดนีเซีย ตกรอบแรกฟุตบอลอาเซียนคัพ เป็นอะไรที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลไทย





จะเป็นที่สุดหรือยังไม่รู้...รู้แต่ว่าตราบใดที่ประเทศไทยยังเป็น สมาชิกของฟีฟ่า ทีมชาติไทยก็ต้องแข่งขันต่อไป ในรายการต่อไป ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหน จะตกรอบแรกอีกสักกี่ครั้งก็ต้องสู้กันต่อ ตราบใดที่ยังเป็นคนไทย ลาออกจากการเป็นประชากรไทยไม่ได้ ก็ต้องเชียร์ทีมชาติไทยกันต่อไป





นักเตะ โค้ช ผู้เกี่ยวข้องไม่ได้ไปฆ่าใครตายที่ไหน ตรงกันข้ามกันพวกเขาพยายามเล่นเพื่อชาติ สู้อย่างถึงที่สุดแต่ฟุตบอล กีฬาเป็นเกมที่พ่ายแพ้กันได้ ไม่ใช่สิ่งที่ให้อภัยกันไม่ได้





หากเราดูจากรายละเอียดทั้ง 3 เกมของฟุตบอลอาเซียนคัพ แม้ว่าทีมไทยจะเล่นได้ไม่เป็นสับปะรดขลุ่ย แต่ความมุ่งมั่น ทุ่มเท แววตาของนักเตะ ของโค้ช พวกเขาฉายแววว่าได้เค้นความสามารถที่มีอยู่ออกมาสู้อย่างเต็มที่ทุกนัด






นัดสุดท้าย นายทวารอย่าง สินทวีชัย หทัยรัตนกุล แม้จะได้รับบาดเจ็บศีรษะแตกแต่ก็กัดฟันสู้ พันผ้าลงไปเล่น ผู้เล่นคนอื่นๆ ที่ขาแทบจะลากจากการกรำศึกหนักมาตลอดทั้งปี แต่ก็สู้ไม่มีถอดใจ





ถ้าคิดในแง่ผลตอบแทน นักเตะทีมชาติไทยทุกคนที่เห็นอยู่ในสนามเงินเดือนๆละไม่ต่ำกว่า 1 แสนบาท สูงสุด 3 แสนกว่าบาท การเล่นให้ทีมชาติไทย มีรางวัล ได้เงินอัดฉีดแค่จิ๊บจ๊อย ถ้าพวกเขาไม่เห็นแก่ชาติ ไม่เห็นแก่ศักดิ์ศรี คงเลือกที่จะถอนตัวแล้วเล่นให้สโมสรอย่างเดียว





ความพ่ายแพ้แบบนี้ แม้จะมองว่าย่ำแย่ตกต่ำ แต่ผมว่าบรรยากาศแห่งความพ่ายแพ้ที่เล่น สู้ พยายามอย่างเต็มที่แล้ว ก็ยังดีกว่าในอดีตที่เราต้องเจอกับมะเร็งร้ายแห่งวงการฟุตบอล ที่ล้มบอล ขายชาติ เล่นแบบไม่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี แม้จะเห็นใจและมองอีกมุม แต่ก็ใช่ว่าความผิดพลาดควรจะได้รับการปลอบใจอย่างเดียว ไม่จำเป็นต้องมีการแก้ไขปรับปรุง





ตรงกันข้ามกันความล้มเหลวครั้งนี้ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในฐานะผู้รับผิดชอบโดยตรงจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ ได้เป็นอันขาด ผมอยากเห็นผู้นำของสมาคมฟุตบอลฯ มีความรู้สึกเดียวกับ ประธานสโมสรที่เป็นเจ้าของทีม อย่าง ปวิณ ภิรมย์ภักดี แห่งบางกอกกล๊าสที่อ้วกแตกทั้งคืนเวลาทีมแพ้, เนวิน ชิดชอบ ของบุรีรัมย์ที่เรียกโค้ชเข้ามาพบตอนตี 3 ของวันที่ผลงานไม่ประทับใจ หรือ เจ้านายของเมืองทองฯ ที่ใครก็เข้าหน้าไม่ติดเวลาบอลแพ้





นี่คืออารมณ์แห่งความเป็นเจ้าของ รู้สึก รู้สา และ อิน กับทีมที่เหมือนลูก ซึ่งประมุขฟุตบอลไทยจำเป็นต้องมี เมื่อเจ็บ ทุกข์ กับมันพอแล้ว ก็ต้องคิดหาหนทางที่จะปฏิรูป พัฒนายังไงให้กลับมาสู่ความสำเร็จอีกครั้งเหมือนกับที่เราเคยทำได้





พรุ่งนี้ไม่ใช่วันโลกแตก...ฟุตบอล ทีมชาติไทยต้องเดินหน้าต่อไป ร่วมกันสนับสนุนให้กำลังใจกันต่อไปครับ ก้าวเดิน ฝ่าวิกฤติไปด้วยกัน ทีมชาติไทยเป็นของคนไทยทุกคน!!


 ปูเป้

Cradit : Siamsport

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์